เภสัชจลศาสตร์
(Pharmacokinetios)
เภสัชจลศาสตร์ หมายถึง การเคลื่อนที่ของยาในร่างกาย
ตั้งแต่การดูดซึมเข้ากระแสเลือด
จากเลือดไปที่เนื้อเยื่ออื่น ๆ และการขับออกจากร่างกาย ในการฉีดยาชาเพื่อให้เกิด
neural
blockade นั้นเรามักฉีดยาในบริเวณใกล้กับเส้นประสาทนั้นแล้วยาชาจะค่อย
ๆ เคลื่อนที่ไปอาบ
รอบ ๆ เส้นประสาท ยาชาบางส่วนจะไปจับกับเนื้อเยื่ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่เส้นประสาทบางส่วน
จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดแล้วถูกจำกัดออกจากร่างกายในที่สุด เมื่อระดับยาในกระแสเลือด
ลดลง ยาชาจะถูกดูดซึมออกมาจากบริเวณที่เราฉีดยา ความเข้มข้นของยาบริเวณนั้นก็จะ
ลดระดับลงจนถึงจุดที่ความเข้มข้นของยาชาออกฤทธิ์ได้ไม่เพียงพอยาชาก็จะหมดฤทธิ์
การฉีดยาชาเพื่อให้เกิดผลที่ต้องการเราต้องฉีดยาชาเป็นปริมาณมากพอโดยเฉพาะบริเวณ
กลุ่มเส้นประสาทขนาดใหญ่ เช่น การทำ brachial plexus block การคำนวณความเข้มข้น
ของยาชาในบริเวณนั้นเพื่อให้ออกฤทธิ์เพียงพออาจทำได้ยาก บางครั้งเราต้องใช้ยาปริมาณมาก
ที่สุดแต่ไม่เกิดพิษต่อผู้ป่วย
การดูดซึมของยาชา
(Absorption)
การดูดซึมของยาชาจากบริเวณที่ฉีดขึ้นกับปัจจัยหลายประการ
ได้แก่ ตำแหน่งที่ฉีดยา
ขนาดยา การใส่ vasoconstrictor ด้วยหรือไม่ และชนิดของยาชา
ตำแหน่งที่ฉีดยาชามีความสำคัญต่อการดูดซึมยาเข้าสู่เลือด
พบว่าตำแหน่งที่ทำให้ระดับยา
ในเลือดสูงที่สุด คือ บริเวณเส้นประสาท intercostal ตามมาด้วยช่อง
epidural, brachial
plexus และใต้ผิวหนังตามลำดับ การเลือกขนาดยาที่ฉีดต้องคำนึงถึงตำแหน่งการฉีดยาชา
ด้วยเสมอ เพราะระดับยาในเลือดจะขึ้นสูงกว่าเมื่อฉีดยาชาเข้าสู่ตำแหน่งที่มีเลือดไปเลี้ยงมากกว่า
เช่น การฉีด lidocaine 400 mg ทำให้ระดับยาในเลือดขึ้นสูงถึง 7 ไมโครกรัม/มล.
เมื่อทำ
intercostal nerve block แต่จะขึ้นเพียง 3 ไมโครกรัม/มล. เมื่อทำ brachial
plexus block
ระดับยาชาในเลือดมีความสัมพันธ์โดยตรงกับขนาดยาที่ใช้
เช่น ระดับ lidocaine
ในเลือดเพิ่มขึ้นจาก 1.5 เป็น 4.0 ไมโครกรัม/มล. เมื่อใช้ยาชาขนาด 200
และ 600 มก. ตามลำดับ
การใส่ยาที่มีฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดหดตัวร่วมกับยาชาจะทำให้ระดับยาชาในเลือดเพิ่มขึ้น
น้อยกว่าเพราะไปลดอัตราการดูดซึมยาเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งมีข้อดีตรงที่ทำให้เกิดอาการเป็นพิษ
ของยาชาน้อยกว่า
ชนิดของยามีผลต่อการดูดซึมยาเพราะยาชาแต่ละตัวมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดไม่เท่ากัน
เช่น
prilocaine ทำให้หลอดเลือดขยายตัวน้อยกว่า lidocaine prilocaine
จึงถูกดูดซึมเข้าเลือด
ได้ช้ากว่า นอกจากนั้นยาชาที่ละลายในไขมันได้มากกว่าจะถูกดูดซึมได้ช้ากว่า
เช่น etidocaine
ละลายในไขมันได้มากกว่า bupivacaine ทำให้ยาสะสมในไขมันและลดอัตราการดูดซึมยา
การกระจายของยา
(Distribution)
เมื่อยาชาถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด
ยาจะกระจายไปสู่บริเวณที่มีเลือดเลี้ยงมากก่อน ทำให้
ระดับยาชาในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว เรียกว่า a
phase ตำแหน่งที่ยาชากระจายไปมากที่สุด
คือกล้ามเนื้อลาย ต่อมาระดับยาในเลือดจะลดลงอย่างช้า ๆ จากการขับถ่ายออกจากร่างกาย
โดยการถูกทำลายที่ตับ ความเร็ว ของการกำจัดยาขึ้นอยู่กับชนิดของยาเรียกว่า
b
phase a และ
b half-life ของ prilocaine จะเร็วกว่า lidocaine
กับ mepivacaine ในขณะที่ lidocaine และ
mepivacaine มีค่าใกล้เคียงกัน ค่าต่าง ๆ ของ a
และ b half-life แสดงในตารางที่ 3
ตารางที่ 3
การทำลายและขับถ่าย
(Biotransformation and excretion)
ยาชาในกลุ่ม aminoester ถูกทำลายโดย
hydrolysis ในพลาสมาด้วยเอนไซม์
pseudocholinesterase ความเร็วของการทำลายเรียงตามลำดับจากเร็วไปหาช้า
คือ
chloroprocaine, procaine และ tetracaine
ยาชาในกลุ่ม aminoamide ถูกทำลายที่ตับความเร็วในการถูกทำลายเรียงตามลำดับจากเร็ว
ไปหาช้า คือ prilocaine, lidocaine, mepivacaine,etidocaine และ bupivacaine
ยาส่วนน้อย
คือน้อยกว่าร้อยละ 5 ถูกขับออกทางไตโดยไม่เปลี่ยนแปลง9
สภาพของผู้ป่วยกับการขับถ่ายยา
1. อายุ ผู้ป่วยสูงอายุจะมี half
life ของยาชากลุ่ม aminoamide นานขึ้น เนื่องจากตับ
ทำลายยาต่าง ๆ ได้ช้าลง คนปกติอายุ 61-71 ปี จะมี half-life ของ
lidocaine 138 นาที
ซึ่งยาวกว่าวัยหนุ่มสาวที่มี half-life 80 นาที ทารกก็มี elimination
half-lifeนานกว่าผู้ใหญ่
เพราะระบบเอนไซม์ของตับยังทำงานได้ไม่เต็มที่10
2. โรคตับ ทำให้ half-life
ของยานานขึ้น half-life ของ lidocaine ในผู้ป่วยโรคตับ
จะนานขึ้นเป็น 5 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับ 1.5 ชั่วโมงในคนปกติ
3. Cardiac output ผู้ป่วยที่มี
cardiac output ต่ำจะขับถ่ายยาได้ช้าลง เช่น
congestive heart failure11
ผู้ป่วยที่มี half-life ของยานานขึ้นจะทำให้ระดับยาชาในเลือดสูงกว่าคนปกติ
ความสำคัญ
คือ ถ้าเราให้ยาชาต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น การให้ continuous
infusion ของยาชาในการทำ
epidural block ระหว่างการผ่าตัดหรือเพื่อแก้ปวดหลังผ่าตัดเป็นเวลานานอาจทำให้ระดับยาชา
ในเลือดขึ้นสูงเกินจนเกิดอาการเป็นพิษได้12
|