ภาวะโลหิตจางที่เกิดจากความผิดปกติที่ไขกระดูก

         ภาวะโลหิตจางที่เกิดจากความผิดปกติที่ไขกระดูกที่สำคัญ คือ Aplastic anemia

   Aplastic anemia
        เป็นโรคที่เซลล์ต้นต่อ (Stem cell) มีความผิดปกติ   ไม่สามารถสร้างเซลล์
   เม็ดเลือดได้ตามปกติ   ทำให้ไขกระดูกมีเซลล์หนาแน่นน้อยกว่าปกติ (hypoplasia)
   ทำให้เกิดเซลล์เม็ดเลือดลดลงทุกชนิดทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด
   (pancytopenia)  เนื่องจากมีกลไกมากดการสร้างเม็ดเลือดทั้ง 3 ระบบ

   การแบ่งประเภทของ Aplastic anemia
        1. Acquired
            1.1 Chemical and physical agents
               1.1.1 Agent that regularly produce aplasia if dose is sufficient
                        -ionizing radiation,  benzene,  etc.
               1.1.2 Agents only occasionally associated with hypoplasia
                        -drugs (eg. Chloramphenicol,  Phenylbutazone,  etc.)
            1.2 Other causes of aplastic or hypoplastic anemia
                        -certain viral infections (hepatitis,  dengue)
                        -some microbacterial infections
                        -pregnacy
                        -Simmond's disease
                        -sclerosis of the thyroid
             1.3 Idiopathic เชื่อว่าเกี่ยวกับกรรมพันธุ์  และเป็นชนิดที่พบมากที่สุดถึงร้อยละ
                   65 ของทั้งหมด
        2. Familial
            -Fanconi's constitutional pancytopenia
            -Pancreatic deficiency in children
            -Putative hereditary defect in cellular uptake or folate

   พยาธิกำเนิดในการเกิดโรค
        กลไกที่ทำให้เซลล์ต้นต่อ pluripotent stem cell (PPSC) มีความผิดปกติ
   ไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดได้ตามปกติ ปัจจุบันเชื่อว่ามีปัจจัยหรือกลไกที่สำคัญอยู่
   3  กลไก (รูปที่ 3)
 

รูปที่ 3.  กลไกในการเกิด aplastic anemia.
IFN    =   interferon                             L-toxin =  lymphotoxin
Mo     =   monocyte                            NK        =  natural killer
PPSC =   pluripotent stem cell            TNF      =  tumor necrosis factor
T-s    =   T-suppressor cell

        1. ปัจจัยภายนอก (Exogenous agent)  เช่น ยา สารเคมี การติดเชื้อไวรัส  เป็นต้น
   โดยที่สิ่งเหล่านี้มีฤทธิ์กดไขกระดูกไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตาม
        2. ความผิดปกติของกลไกระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ความไม่สมดุลย์ระหว่าง
   T-suppressor และ T-helper หรือ immune complex มีผลกดการเพิ่มจำนวน
   ของเซลล์ในไขกระดูก  เป็นต้น
        3. สิ่งแวดล้อมในไขกระดูก (Microcirculation หรือ microenvironment)
   ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการเพิ่มจำนวนของเซลล์มีการเปลี่ยนแปลงไป  เป็นต้น

   อาการแสดง
        ส่วนใหญ่อาการมักจะค่อยเป็นค่อยไปไม่รวดเร็วเหมือนโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
   ชนิดเฉียบพลัน (Acute leukemia) และอาการสำคัญมี 3 อย่าง คือ ซีด  เลือดออกง่าย
   และไข้หรือภาวะติดเชื้อ  ร้อยละ 78 มาด้วยอาการที่เกิดจากภาวะโลหิตจาง และมี
   เลือดออกง่าย

   การตรวจทางห้องปฎิบัติการ
        1. CBC   พบฮีโมโกลบิน และฮีมาโตคริตต่ำกว่าปกติ  พบ Pancytopenia  ผู้ป่วย
   มักมาตรวจครั้งแรกโดยมีฮีโมโกลบิน 7 g/dL, ฮีมาโตคริต 20%, จำนวนนับ
   ของเม็ดเลือดขาว (Wbc count) 1.5x103/mL ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย
   พบเกล็ดเลือดต่ำกว่า 200x103/mL  ในผู้ป่วยที่พบ oral purpuric lesion
   (wet purpura) ตรวจเกล็ดเลือดมักจะต่ำกว่า 10x103/mL ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อ
   การเกิดเลือดออกในสมอง (cerebral hemorrhage)   การตรวจนับแยกชนิด
   เม็ดเลือดขาว (differential count) พบว่า PMN ต่ำมาก  อาจจะได้ absolute
   granulocyte count เพียง 0.5-1.0x103/mL  ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ  ส่วนลักษณะ
   รูปร่างเซลล์เม็ดเลือดแดง (Rbc morphology)  มีลักษณะของเซลล์ที่มีขนาด
   และการติดสีปกติ (normochromic normocytic type)   ลักษณะเม็ดเลือด
   และเกล็ดเลือดมีขนาดและรูปร่างปกติ
        2. Reticulocyte count   ต่ำกว่าภาวะปกติ และมักจะต่ำกว่าร้อยละ 1.0
   หรือต่ำกว่านี้
        3. ไขกระดูก   มีลักษณะเป็น aplastic หรือ hypoplastic marrow
   โดยมีเซลล์เม็ดเลือดไม่ว่าจะเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว หรือแม้กระทั่ง
   megakaryocytic series ลดลงอย่างมาก  เซลล์ในไขกระดูกพบว่ามี comparative
   lymphocytosis คือ พบ lymphocytic series สูงถึงร้อยละ 70-90 ของจำนวนเซลล์
   เม็ดเลือดทั้งหมด   พบเซลล์ไขมันและเยื่อพังผืดกระจายอยู่ทั่วไปแทน
        4. Ferrokinetic study ผิดปกติ   เพราะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงน้อย
   จึงใช้เหล็กน้อยลง  พบว่า  serum iron,  iron binding protein จะอิ่มตัว   และ
   plasma iron turnover rate ลดลง
        5. การทดสอบอื่นๆ   อายุขัยเซลล์เม็ดเลือดแดง, serum erythropoietin และ
   serum haptoglobin มีค่าปกติ  เป็นต้น

   การพยากรณ์โรค
        Severe aplastic anemia ตามคำจำกัดความของ "International Aplastic
   Anemia Study Group" มีข้อกำหนดตามข้อ 1 ร่วมกับอีกอย่างน้อยสองข้อในสามข้อ
   จากข้อ 2-4 ดังนี้
        1. ไขกระดูกมีความหนาแน่นของเซลล์ (cellularity) ต่ำกว่าร้อยละ 25 หรือต่ำกว่า
   ร้อยละ 50 โดยมี Hemopoietic cell ต่ำกว่าร้อยละ 30
        2. Neutrophil count <0.5x103/mL
        3. Platelet count <20x103/mL
        4. มีภาวะโลหิตจางที่มี Corrected Reticulocyte Index <1.0% 
        สำหรับผู้ป่วยที่มี Neutrophil count <0.2x103/mL จัดเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจาง
   ที่เกิดจากความผิดปกติของไขกระดูกที่มีความรุนแรงสูงมาก (Very severe aplastic
   anemia)

   ปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการพยากรณ์โรค
   1. อายุ  อายุน้อยกว่า 20 ปี  (พบว่าเด็กดีกว่าผู้ใหญ่ อายุน้อยสนองตอบ
       ต่อการรักษาด้วยฮอร์โมนดีกว่า)
   2. เพศ  พบว่าเพศหญิงดีกว่าเพศชาย
   3. การเกิดอาการรวดเร็วและอาการรุนแรงมาก  มีการพยากรณ์โรคแย่กว่า
       พวกที่เกิดช้ากว่าและอาการรุนแรงน้อยกว่า เช่น พวกที่มีเลือดออกมากเมื่อเริ่ม
       การรักษาจะมีการพยากรณ์โรคแย่กว่าพวกที่มีพวกที่มีเลือดออกน้อยกว่า
  4. Neutrophil count <0.2x103/mL มีการพยากรณ์โรคแย่กว่าพวกที่มี Neutrophil
       count <0.5x103/mL

   การรักษา
   1. การใช้ยาเพื่อกระตุ้น Pluripotent Stem Cell (PPSC) เช่น
       1.1 Androgenic hormone ยาที่ใช้มีหลายตัว เช่น Methandrosterone 1-2
   mg/kg/day รับประทาน, Oxymetholone 2.5 mg/kg/day รับประทาน, Nandrolone
   50 mg/week  ฉีดเข้ากล้าม เป็นต้น เชื่อว่ามีกลไกในการออกฤิทธิ์โดย
        1.1.1 เพิ่มการสร้าง erythropoietin
        1.1.2 เพิ่มความไวของ erythroid end organ ต่อการกระตุ้นของ erythropoietin
        1.1.3 กระตุ้นการเจริญเติบโตของ PPSC รวมทั้ง erythroid และ granulocytic
                 colony
        1.2 Lithium ยังใช้กันไม่มากนักและผลยังไม่แน่นอน เชื่อว่าออกฤทธิ์โดยการกระตุ้น
   PPSC,  GM-CSF, และ CFU-C
        1.3 Corticosteroid  โดยทั่วๆ ไปไม่ได้ผล แต่อาจช่วยในรายที่มีเลือดออก
              การตอบสนองต่อการรักษา  จะพบว่าระยะแรกมีจำนวน reticulocyte
   และฮีโมโกลบินเพิ่มขึ้นก่อน  ระยะต่อมาจำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น  ตามด้วยจำนวน
   เกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น
   2. การปลูกถ่ายไขกระดุก (Bone marrow transplantation)  จะทำในพวกที่มี
       อาการรุนแรง  และมีการพยากรณ์โรคไม่ดี
   3. การให้ยากดภูมิคุ้มกัน  ใช้ในรายที่ T-suppressor activity  สูงกว่าปกติ
       หรือรายที่เชื่อว่าโรคเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น
       cyclophosphamide ใช้ 150-200 mg/kg/day ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
       โดยอาจจะแบ่งให้ 2-3 วัน เป็นต้น
   4. การรักษาตามอาการและภาวะแทรกซ้อน  เช่นโรคติดเชื้อ,  เลือดออก  เป็นต้น