การดูแลรักษา........
การดูแลการคลอด (Delivery management)
          ในอดีต พบอัตราตายปริกำเนิดในสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานเมื่ออายุครรภ์เกิน 36-37 สัปดาห์ค่อนข้างสูง แต่การทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงก่อนอายุครรภ์ครบกำหนด ก็นำมาซึ่งปัญหา
ทางระบบทางเดินหายใจของทารก คือภาวะ Respiratory distress syndrome (RDS) ต่อมาเมื่อ
มีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างตั้งครรภ์ได้ดีขึ้น      การสามารถทดสอบความสมบูรณ์
ของปอดทารก (Fetal lung maturity) ได้ถูกต้องแม่นยำขึ้น ประกอบกับการดูแลทารกแรกคลอด
พัฒนาขึ้นมาก ทำให้อัตราตายปริกำเนิดในกลุ่มนี้ลดลงมาก
           อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อสรุปแน่นอนสำหรับอายุครรภ์      และวิธีการคลอดที่เหมาะสมที่สุด
สำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน   ยังคงมีการศึกษาและแนวปฏิบัติที่แตกต่างกัน ในเรื่องนี้
ตามสถาบันต่างๆ

        ความสมบูรณ์ของปอดทารก (Fetal lung maturity)
                  ความสมบูรณ์ของปอดทารกในสตรีตั้งครรภ์    ที่เป็นโรคเบาหวานจะล่าช้ากว่าสตรี
ตั้งครรภ์ทั่วไป เชื่อว่าเป็นผลมาจากอินสุลินสูงขึ้น ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง   และผลกระทบของ
โรคเบาหวานต่อ Glucocorticoid และฮอร์โมนจากต่อมธัยรอยด์(87)         จึงเป็นสาเหตุให้ทารก
กลุ่มนี้เกิดภาวะ RDS ได้มากกว่าทารกปกติถึง 5.6 เท่า(88) อย่างไรก็ดี Piazze  และคณะศึกษา
พบว่าหากสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติตลอดการตั้งครรภ์    ความสมบูรณ์
ของปอดทารกก็จะปกติ(89)
                  ปัญหาสำคัญประการหนึ่งคือการทดสอบความสมบูรณ์ของปอดทารก     ยังไม่พบ
การทดสอบใดที่สามารถพยากรณ์ภาวะ RDS ได้แม่นยำที่สุดทั้งการทดสอบทางชีวกายภาพและ
ชีวเคมี ไม่ว่าจะเป็นการตรวจหาระดับ        Lecithin/sphingomyelin (L/S) ratio,  การตรวจหา
Phosphatidylglycerol        การทดสอบ Foam stability หรือ "Shake" test การวัดค่า Optical
density ที่ 650 นาโนเมตรหรือการนับจำนวน Lamellar body    ในกรณีที่เป็นปัญหาการใช้การ
ทดสอบหลายชนิดร่วมกัน      อาจช่วยให้การทำนายความสมบูรณ์ของปอดทารก และพยากรณ์
การเกิดภาวะ RDS แม่นยำขึ้น(88,90)

        อายุครรภ์ที่เหมาะสมสำหรับการคลอด (Timing of delivery)
                ยังไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอนสำหรับอายุครรภ์ที่เหมาะสมที่สุด ในการทำให้การตั้งครรภ์
สิ้นสุดลง ในสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน   เนื่องจากต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆมากมาย แต่โดย
ทั่วไปจะมีข้อบ่งชี้สำหรับการทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงโดยเร็ว หรือเมื่อประเมินว่าความสมบูรณ์
ของปอดทารกน่าจะดีแล้ว ซึ่งได้แก่ สตรีตั้งครรภ์ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี และ/หรือ
ไม่ร่วมมือในการดูแลรักษา  สตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง การ
ทำงานของไตผิดปกติ ภาวะ Vasculopathy เป็นต้น หรือข้อบ่งชี้ทางด้านทารกได้แก่ ภาวะทารก
โตช้าในครรภ์ (IUGR) คาดว่าทารกตัวโต (Macrosomia)   ภาวะทารกคับขัน การมีประวัติทารก
ตายคลอดในครรภ์ก่อน(91,92)
               สำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานที่ไม่อยู่ในข้อบ่งชี้ดังกล่าว โดยทั่วไปนิยมทำให้
การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงเมื่ออายุครรภ์ครบ 38 สัปดาห์(91,81,93)        เนื่องจากพบว่าหลังอายุครรภ์
ดังกล่าวพบภาวะ RDS ในทารกน้อยมาก(94) รวมทั้งมีการศึกษาพบอัตราการเกิดภาวะทารกตัวโต
และผลแทรกซ้อนจากการคลอดทารกดังกล่าวสูงขึ้นเมื่อให้การรักษาแบบประคับประคอง จนอายุ
ครรภ์เกิน 38 สัปดาห์(93,95,96) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงแล้วประเมิน
น้ำหนักทารกในครรภ์เกิน 4,250 กรัม (97)
                อย่างไรก็ดี      หากพบว่าปากมดลูกยังไม่พร้อมในการชักนำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอด
ก็สามารถรอได้อีกระยะหนึ่งหรือใช้ พรอสตาแกลนดิน อี 2 (Prostaglandin E2) ช่วยในการทำให้
ปากมดลูกสุก ร่วมกับการเฝ้าระวังสุขภาพทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิดได้

        วิธีการคลอดที่เหมาะสม (Mode of delivery)
                พึงระลึกไว้เสมอว่าโรคเบาหวานไม่ใช่ข้อบ่งชี้   ในการทำผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง
สำหรับสตรีตั้งครรภ์(17,91,81) การทำผ่าตัดจะทำเมื่อประเมินว่ามีภาวะทารกตัวโตหรือข้อบ่งชี้อื่นๆ ทางสูติศาสตร์ เนื่องจากการผ่าตัดเองอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะภาวะ  ติดเชื้อใน
สตรีตั้งครรภ์กลุ่มนี้ได้มากกว่าสตรีตั้งครรภ์ปกติ(91)        การพิจารณาวิธีการคลอด จึงควรกระทำ อย่างรอบคอบ เพื่อลดอัตราการทำผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้องที่ไม่จำเป็น     และป้องกันภาวะ
แทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมา        รวมทั้งไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการคลอดทางช่องคลอดที่ไม่
เหมาะสม ทำให้เกิดภาวะคลอดไหล่ยากและการบาดเจ็บต่อทารก  ดังนั้นจะเห็นว่าการทราบอายุ
ครรภ์ที่แน่นอน    การประเมินน้ำหนักทารกในครรภ์ และการพยากรณ์ภาวะทารกตัวโตที่ถูกต้องมี
ความสำคัญอย่างยิ่งในการพิจารณา วิธีการคลอดที่เหมาะสม

        การดูแลระยะเจ็บครรภ์และการคลอด(2,91,81)
                 ไม่ว่าจะพิจารณาทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงโดยการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด     หรือ
ผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง ควรเริ่มกระทำในเวลาเช้า หลักสำคัญที่สุดคือ  การพยายามรักษา
ระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ โดยยังคงบริหารอินสุลินในคืนก่อนการคลอดตามปกติ และงด
น้ำและอาหารหลังเที่ยงคืน ในเช้าวันคลอดงดการบริหารอินสุลินตามปกติ แต่ให้เป็นอินสุลิน 10
หน่วยในสารละลาย 5% กลูโคส 1,000 มล     เข้าทางหลอดเลือดดำในอัตรา 100-125 มล/ชม.
แทน  ระหว่างนี้ทำการประเมินระดับน้ำตาลในเลือดโดยเจาะเลือดจากปลายนิ้ว   และตรวจโดย
เครื่อง Glucometer ทุกชั่วโมง     เพื่อพยายามรักษาระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้เกิน 120 มก/ดล
โดยปรับขนาดอินสุลินในช่วงระหว่าง 0.25-2 หน่วย/ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงที่ 2 ของการคลอด
อาจต้องเพิ่มปริมาณอินสุลินมากขึ้น    เนื่องจากมีการหลั่งสาร Catecholamine มากขึ้น สำหรับ
สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้องเริ่มการดูแลรักษาในลักษณะเดียวกัน และ
ทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังผ่าตัดทุก 2 ชั่วโมง

        การดูแลระยะหลังคลอด
                หลังรกคลอดระดับฮอร์โมนต้านอินสุลินที่สร้างเพิ่มขึ้น       ระหว่างตั้งครรภ์จะกลับสู่
ระดับปกติร่างกายจะไวต่ออินสุลินมากขึ้น ทำให้ความต้องการอินสุลินลดลง ระยะหลังคลอดจึง
เป็นระยะที่ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ    เพื่อป้องกันภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยเฉพาะ
ในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด และเมื่อเริ่มให้นมบุตร ระดับน้ำตาลในเลือดที่ยอมรับได้ในระยะนี้
อยู่ระหว่าง 150-200 มก./ดล  ในกรณีคลอดปกติและสามารถรับประทานอาหารได้ทันที ในบาง
สถาบันแนะนำให้เพิ่มปริมาณพลังงานจากอาหารอีก 500 กิโลแคลอรี/วัน โดยเป็นคาร์โบไฮเดรต
ประมาณ 100 กรัม และโปรตีนประมาณ 20 กรัม ในกรณีที่ให้นมบุตรแต่บางสถาบันก็ไม่แนะนำ
ให้เพิ่มปริมาณพลังงานจากอาหารเพราะเชื่อว่าเพียงพออยู่แล้ว  เนื่องจากร่างกายต้องการ
พลังงานจากอาหารลดลงในช่วงหลังคลอด
               สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานไม่ได้เป็นข้อบ่งห้ามในการให้นมบุตร      เพียงแต่ต้อง 
ควบคุมปริมาณพลังงานจากอาหาร และปรับอินสุลินด้วยความระมัดระวังในสตรีกลุ่ม IDDM โดยเฉพาะในช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังคลอด และควรระวังการเกิดการอักเสบของเต้านม (Mastitis) และการติดเชื้อรา (Candida albicans)