ก่อนจะพิจารณาให้การรักษาโรคเบาหวานในสตรีตั้งครรภ์ การทำความเข้าใจถึงพยาธิ
สรีรวิทยาของโรคเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่ง ระหว่างตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลง เมตาบอลิสม ของคาร์โบไฮเดรทค่อนข้างมาก ในระยะแรกของการตั้งครรภ์การเพิ่มของฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนทำให้เกิด Beta cell hyperplasia ในตับอ่อนซึ่งทำให้มีการหลั่งอินสุลิน ออกมาเพิ่มขึ้น(4) ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดของมารดาลดลงร้อยละ 10 ในขณะเดียวกัน มีการสร้างไกลโคเจนตามเนื้อเยื่อเพิ่มขึ้นและลดการผลิตน้ำตาลของตับ ปริมาณกรดอะมิโน ที่ช่วยในการผลิตน้ำตาลลดลง แต่กรดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ และคีโตนเพิ่มขึ้น ภาวะดังกล่าว ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในสตรีตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน แบบต้องใช้อินสุลิน (Insulin-dependent diabetes mellitus : IDDM) จึงทำให้มีการใช้ พลังงานจากไขมันสะสมเพื่อป้องกันการทำลายกล้ามเนื้อ(2) |
ต่อมาเมื่อปริมาณฮอร์โมน
Human placental lactogen (hPL) ซึ่งสร้างจากรกเพิ่มขึ้น จะมี
การสลายไขมันให้เป็นกลีเซอรอลและกรดไขมันเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำหรับทารกในครรภ์ ทำให้สตรีตั้งครรภ์ลดการใช้กลูโคสและกรดอะมิโนลง การเพิ่มของฮอร์โมน hPL และฮอร์โมนที่มี ฤทธิ์ต้านอินสุลินอื่นๆ ได้แก่ โปรเจสเตอโรน คอร์ติซอล และโปรแลคตินทำให้เกิดภาวะ "Diabetogenic state" ในสตรีตั้งครรภ์(5) ฮอร์โมนดังกล่าวทำให้เนื้อเยื่อตอบสนองต่ออินสุลิน ลดลง (Insulin resistance) ซึ่งจะดำเนินไปจนกระทั่งช่วงท้ายไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์(6) การพร่องของ Glucose tolerance ในสตรีตั้งครรภ์ปกตินับเป็นประโยชน์ต่อมารดา และทารกใน ครรภ์ แต่ในสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดยากลำบากขึ้น สตรีกลุ่มนี้ต้องการอินสุลินเพิ่มขึ้น และสำหรับสตรีที่มีแนวโน้มที่จะมีความผิดปกติของตับอ่อน อาจมีการพร่องของอินสุลินเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะใกล้คลอด เป็นผลให้ตรวจพบ โรคเบาหวานในสตรีกลุ่มนี้ได้เป็นครั้งแรก (Gestational diabetes mellitus : GDM) |
รกนอกจากจะผลิตฮอร์โมนซึ่งมีผลต่อเมตาบอลิสมของมารดาแล้ว ยังควบคุมการ
ส่งผ่าน สารอาหารไปสู่ทารก ระดับกลูโคสในเลือดทารกซึ่งส่งผ่านโดยวิธี Carrier-mediated facilitated diffusion จึงแปรตามระดับกลูโคสในเลือดมารดา นอกจากนี้แม้อินสุลินจะไม่สามารถ ส่งผ่านรกไปยังทารก ได้แต่ก็มีผลให้มีการส่งผ่านกลูโคสไปยังทารกเพิ่มขึ้น(7) ดังนั้นในสตรีตั้ง ครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานชนิด IDDM หากควบคุมระดับกลูโคสในเลือดได้ไม่ดี จะส่งผลให้ทารก มีระดับกลูโคสในเลือดสูง (Hyperglycemia) ขึ้นด้วย และหากเป็นเช่นนี้เป็นระยะเวลานานก็จะ กระตุ้นให้เกิด Beta cell hyperplasia ในตับอ่อนของทารกและเกิดภาวะอินสุลินสูง (Fetal hyperinsulinemia) ตามมาด้วย(8) |