การวินิจฉัย |
จากการการตรวจร่างกายสตรีตั้งครรภ์
อาจพบว่ามีความผิดปกติคือ 1. น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ 2. ความสูงยอดมดลูก (Fundal height) เพิ่มขึ้นน้อยหรือไม่เพิ่มขึ้น การใช้ความสูงยอดมดลูก ในการวินิจฉัยทารกโตช้าในครรภ์ ได้มีการศึกษา โดยRumbolz และ Mc Googan ในปี 1953 โดยหาความสัมพันธ์ของ ความสูงยอดมดลูกกับการเกิด Intrauterine growth restruction โดยใช้ความสูงยอดมดลูกต่ำกว่าที่ควรจะเป็น 3 ซ.ม. ขึ้นไป ในอายุครรภ์นั้นๆ พบว่าวิธีนี้มีความไว (Sensitivity) ร้อยละ 64 ในการตรวจพบทารกโตช้าในครรภ์ และมีผลบวกลวง (False positive rate) ร้อยละ 71 ซึ่งแม้ว่าจะมีอัตราของผลบวกลวงสูง แต่วิธีนี้เป็นวิธีการคัดกรอง ที่ง่าย จึงยังนิยมใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายทั่วโลก 3. การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ในปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ทำให้การตรวจวินิจฉัย ทารกโตช้าในครรภ์ ทำได้ง่าย และแม่นยำขึ้น การวินิจฉัยทารกโตช้าในครรภ์ ทำได้โดยการวัดขนาด ของทารก ด้วยตัววัดมาตรฐานต่างๆ ได้แก่ Biparietal diameter (BPD, การวัดความกว้างของ กระโหลกศีรษะ), Head circumference (HC, เส้นรอบวงศีรษะ), Abdominal circumference (AC, เส้นรอบท้อง), Transverse cerebellar diameter (TCD,เส้นผ่านขวางของซีรีเบลลัม) และการคำนวนน้ำหนักทารก (Estimated fetal weight) BPD เป็นตัววัดที่ใช้บ่อยที่สุด ในการประเมินอายุครรภ์ และการเจริญเติบโตของทารก แต่จากหลายการศึกษาพบว่า การใช้ BPD มีความไวในการตรวจพบ IUGR ประมาณร้อยละ 50 เนื่องจากประชากรที่ศึกษา จะรวมทารกในกลุ่ม Asymmetrical IUGR เข้ามาด้วย ซึ่งขนาดของศีรษะ จะไม่เปลี่ยนแปลง ดังที่ได้อธิบายไว้แล้ว ในหัวข้อพยาธิสรีรวิทยา ดังนั้นการใช้ BPD เพียงอย่างเดียว จึงไม่สามารถตรวจวินิจฉัยทารกโตช้า ซึ่งมีสาเหตุจากการทำงานที่ผิดปกติของรกได้ ในทางตรงกัน การใช้ BPD เพียงอย่างเดียว จะรวมเอาทารกที่ตัวเล็กตามพันธุกรรม (Constitutionally small) ซึ่งมีการเจริญเติบโตปกติ เข้ามาอยู่ในกลุ่มทารกโตช้าในครรภ์ด้วย การวัดความยาวกระดูกต้นขา (Femur length; FL) มีประโยชน์ไม่มากนัก ในการตรวจวินิจฉัย ทารกโตช้าในครรภ์ เนื่องจากความยาวกระดูกต้นขา มักผิดปกติในระยะท้ายของอายุครรภ์ การวัดความยาวเส้นรอบท้อง (Abdominal circumference; AC) เป็นตัววัดที่ใช้กันบ่อย และดีกว่า BPD, HC และ FL ในการวินิจฉัยทารกโตช้าในครรภ์ การใช้ AC มีความไวร้อยละ 73 และ การทำนายผลบวก (Positive predictive value) ร้อยละ 84 ในการวินิจฉัยทารกโตช้าในครรภ์ และสามารถตรวจวินิจฉัยได้ทั้ง Symmetrical และ Asymmetrical IUGR เนื่องจากเส้นรอบท้อง เป็นสิ่งที่บอกถึงขนาดของตับ และความหนาของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง การใช้คลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อการคำนวณน้ำหนักทารกในครรภ์ เป็นวิธีที่มีความถูกต้องสูงที่สุด ในการวินิจฉัยทารกโตช้าในครรภ์ เนื่องจากในทางปฏิบัติ แพทย์ใช้น้ำหนักแรกคลอด เป็นเกณฑ์การ วินิจฉัยอยู่แล้ว พบว่าการใช้สมการชนิดต่างๆ ที่มีผู้คิดค้นขึ้น เพื่อคำนวณน้ำหนักทารกในครรภ์ จะมีความผิดพลาดไม่เกินร้อยละ 10 การใช้น้ำหนักที่คำนวณจากการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง ในการวินิจฉัยทารกโตช้าในครรภ์ โดยใช้ค่าต่ำกว่าเปอร์เซนไทล์ที่ 10 ของแต่ละอายุครรภ์ มีความไว และความจำเพาะร้อยละ 87 การทำนายผลบวก (Positive predictive value) ร้อยละ 78 การทำนายผลลบ (Negative predictive value) ร้อยละ 92 ในการตรวจวินิจฉัยทารกโตช้าในครรภ์ ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงนั้น มีข้อควรตระหนักคือ ข้อแรก การคำนวณน้ำหนักทารกด้วยการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง ควรต้องใช้ค่ามาตรฐาน ของกลุ่มประชากรเดียวกับผู้ป่วย จึงจะได้การวินิจฉัยที่ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด หากใช้ค่ามาตรฐานที่ได้จากการศึกษาในกลุ่มประชากรที่ต่างกัน อาจทำให้การวินิจฉัยผิดพลาดได้ ข้อที่สองทุกตัววัดที่ใช้ มีค่าที่แปรตามอายุครรภ์ ดังนั้นการทราบอายุครรภ์ที่ถูกต้องของทารก จึงเป็นสิ่งที่ สำคัญที่สุด ก่อนที่จะให้การวินิจฉัยว่า เป็นทารกโตช้าในครรภ์ ในกรณีที่ไม่ทราบ อายุครรภ์แน่ชัด การวัด AC ในระยะเวลาห่างกัน 2 สัปดาห์ และพบว่ามีค่าเพิ่มขึ้นไม่ถึง 10 ม.ม. จะมีความไวร้อยละ 85 และความจำเพาะร้อยละ 74 ในการตรวจวินิจฉัยทารกโตช้าในครรภ์ การเทียบอัตราส่วนของตัววัด ที่ได้จากการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่มีผู้ใช้ในการวินิจฉัยทารกโตช้าในครรภ์ ในกรณีที่ไม่ทราบอายุครรภ์ อัตราส่วนระหว่างเส้นรอบวงศีรษะ ต่อเส้นรอบท้อง (HC/AC) มีความไวร้อยละ 82 อัตราส่วนระหว่างความยาวกระดูกต้นขา ต่อเส้นรอบท้อง (FL/AC) มีความไวร้อยละ 62 ในการตรวจพบทารกโตช้าในครรภ์ อัตราส่วนระหว่างเส้นผ่านขวางซีรีเบลลัม ต่อเส้นรอบท้อง ก็สามารถนำมาใช้ในการวินิจฉัยทารกโตช้าในครรภ์ อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าการใช้เส้นรอบท้อง เป็นตัวหารตัววัดตัวอื่น จะทำให้อัตราส่วนต่างๆ นี้ วินิจฉัยได้เฉพาะทารกโตช้า ที่มีสาเหตุมาจาก การทำงานที่ผิดปกติของรก เนื่องจากในกลุ่มนี้ เส้นรอบท้องจะลดลงกว่าส่วนอื่นๆ |