Regulation of body volume
          การควบคุม body volume ในที่นี้คือการควบคุม extracellular fluid volume (ECFV) ซึ่งส่วนที่มีประสิทธิภาพจริงๆ ในการหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ นั้น คือ  plasma volume  หรือที่เรียกว่า  effective circulating volume (ECV)  มีค่าประมาณ 5% ของน้ำหนักตัว แต่มีความสำคัญต่อการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ความดันของร่างกาย  กลไกการรักษาสมดุลของปริมาณน้ำในร่างกาย  อาศัยการควบคุมปริมาณโซเดียมเป็นหลัก (Na balance)
          เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของ  ECV  ร่างกายจะรับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงโดย baroreceptor  ที่อยู่บริเวณ  carotid sinus, aortic arch, glomerular arterioles, cardiac atrium  เป็นต้น เมื่อ  receptor  เหล่านี้ถูกกระตุ้น ร่างกายก็จะมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางระบบประสาทอัตโนมัติ และระบบฮอร์โมน  เพื่อควบคุมการขับโซเดียมทางไต ให้เหมาะสมกับปริมาณ  ECV  ในขณะนั้น

Effector
          1. 
Renin-angiotensin-aldosterone system  เมื่อมีการลดลงของ renal blood flow  จะมีการหลั่ง  renin  ซึ่งจะไปเปลี่ยน  angiotensinogen  ไปเป็น  angiotensin I และเปลี่ยนต่อไปเป็น  angiotensin II  anaiotensin II   จะออกฤทธิ์ ทำให้เกิดเส้นเลือดหดตัว  (vasoconstriction)  ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น จะไปกระตุ้นการหลั่ง  aldosterone  ซึ่งสร้างที่ต่อมหมวกไต  aldosterone  ออกฤทธิ์ ทำให้เพิ่มการดูดซึมกลับของโซเดียมคลอไรด์ และเพิ่มการขับกรดและโปแทสเซียมออกทางปัสสาวะ
          2.
Atrial natriuretic peptide (ANP)  หลั่งออกมาจาก  myocardium atrium เมื่อมีการตึงตัวมากขึ้น จากการเพิ่ม  atrial volume  หรือ  pressure  ออกฤทธิ์ทำให้มีการขับโซเดียมออกทางไตมากขึ้น
          3.
ADH  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำมากกว่า 10% ADH  จะถูกกระตุ้น

การเปรียบเทียบระหว่างการควบคุม  body volume  และ  osmolarity
          Extracellular fluid volume  ขึ้นกับปริมาณโซเดียมในร่างกาย ในขณะที่  plasma osmolarity  ขึ้นกับ ความเข้มข้นของโซเดียมในพลาสม่า  กระบวนการควบคุมทั้งสองส่วน จึงมีความแตกต่างกัน การควบคุม  body volume  อาศัยการควบคุมปริมาณโซเดียมในร่างกาย โดยผ่านทางการควบคุมการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ กล่าวคือ ถ้าร่างกายต้องการเพิ่ม  body volume  ต้องพยายามเก็บโซเดียมไว้ ในทางตรงกันข้าม  ถ้าร่างกายต้องการลด  body volume  จะต้องมีการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะมากขึ้น  สำหรับการควบคุม osmolarity  อาศัยการควบคุม ปริมาณน้ำในร่างกาย  เพื่อรักษาระดับความเข้มข้นของโซเดียมในพลาสม่า กล่าวคือ เมื่อมีการเพิ่มขึ้นของ  plasma osmolarity จะมีการกระตุ้นให้มีการดื่มน้ำมากขึ้นผ่านทางการกระหายน้ำ และมีการลดการขับน้ำทางปัสสาวะ  หรืออีกนัยหนึ่งคือ ไตต้องดูดน้ำกลับเพิ่มขึ้นเพื่อจะลดระดับ  plasma osmolarity  ในทางตรงกันข้ามถ้ามีการลดลงของ  plasma osmolarity  การกระหายน้ำจะไม่ถูกกระตุ้น และไตจะขับออกทางปัสสาวะมากขึ้น  กระบวนการควบคุมทั้งสองส่วน มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด แต่ไม่จำเป็นต้องทำงานพร้อมกัน