Clinical Application : Hypernatremia
          Hypernatremia   หมายถึง ภาวะที่ plasma Na  สูงกว่า 145 mmol/L โดยทั่วไปมักพบร่วมกับภาวะ hyperosmolarity ด้วย ส่วนใหญ่ของภาวะ hypernatremia เกิดจากการลดลงของปริมาณน้ำในร่างกาย ซึ่งมักมีสาเหตุจากความผิดปกติในระบบกระหายน้ำ (thirst) หรือไม่สามารถดื่มน้ำได้ หรือไม่มีน้ำให้ดื่ม การสูญเสียน้ำในสัดส่วนที่มากกว่าโซเดียมทางไต จะเป็นสาเหตุพื้นฐานที่ทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายลดลง แต่หากร่างกายได้รับน้ำในปริมาณเพียงพอแล้ว จะไม่เกิดภาวะ hypernatremia
          ภาวะนี้ โดยทั่วไปแล้วพบน้อยมาก hypernatremia  มักพบในผู้ป่วยที่ซึม ไม่รู้สติ ไม่สามารถดื่มน้ำเองได้, ผู้ที่ขาดความรู้สึกกระหายน้ำ หรือเด็กเล็กๆ ที่ไม่สามารถหาน้ำดื่มได้เอง

สาเหตุของการเกิด  Hypernatremia
          1. Increased extracellular volume (hypervolemia) ; Na overlode พบได้ค่อนข้างน้อย เช่น
             - Inapproppiate IV therapy
             - ในการทำ  resuscitation  ผู้ป่วยใช้  hypertonic sodium solution (7.5 % NaHCO3)
             - จมน้ำทะเล
             - กินเกลือมาก
             - hyperaldosteronism  ทำให้เกิด  hypernatremia  ได้ แต่ไม่รุนแรง
          2. Low extracellular volume (hypovolemia)
              2.1 extrarenal loss

                  2.1.1 สูญเสีย Insensible loss มากเกินไป ได้แก่ การสูญเสียทางเหงื่อ จากการออกกำลังกาย หรือมีไข้สูง ถ้าร่างกายสูญเสียเหงื่อมาก และได้รับน้ำชดเชยไม่เพียงพอ จะเกิด hypernatremia ค่า urine osmolarity มักมีค่าสูงขึ้น
                  2.1.2  gastrointestinal loss ได้แก่อาเจียน, ท้องเสีย แล้วได้รับน้ำชดเชยไม่เพียงพอ ก็จะเกิด hypernatremia ได้เช่นกัน
                  2.1.3  ได้รับน้ำไม่เพียงพอ ร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอกับ insensible loss ซึ่งมีค่าปกติประมาณวันละ
500 ml เช่น ในผู้ป่วยที่อายุมาก, หมดสติ, เด็กเล็ก จะทำให้เกิดภาวะ hypernatremia ได้
             2.2 renal loss

                 2.2.1 osmotic diuresis  การที่มีปัสสาวะเพิ่มขึ้น จากการที่มีการขับ osmotic agents ออกทางไตเพิ่มขึ้น สารเหล่านี้ได้แก่ glucose, urea, manitol ปริมาณปัสสาวะที่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้มีการขับ Na, K และ Cl ออกมาในปัสสาวะมากขึ้นด้วย ความสามารถของไตในการทำให้ปัสสาวะเข้มข้นจะลดลง ค่า urine osmolarity จะมีค่าใกล้เคียงกับในเลือด ปัสสาวะในภาวะนี้เป็น hypotonicity เมื่อเทียบกับเลือด จึงมีการสูญเสีย free water ออกมามาก ถ้าร่างกายได้รับน้ำชดเชยไม่เพียงพอ จะเกิด hypernatremia ได้
                 2.2.2 Diabetic inspidus (เบาจืด) อาจเกิดจากการหลั่ง  ADH ลดลง หรือไม่มีการหลั่ง ADH ซึ่งเรียกว่า central DI หรืออาจเกิดจากไตตอบสนองลดลง หรือไม่ตอบสนองต่อ  ADH  เรียกว่า  nephrogenic DI  ผลคือ ทำให้ไตดูดน้ำกลับลดลง ปัสสาวะออกมากกว่าปกติ ปัสสาวะเจือจาง ดื่มน้ำมาก (เนื่องจาก thirst center ยังดี) ถ้าคนไข้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ จะมีค่า plasma Na ปกติ  ถ้าคนไข้ได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะเกิด  hypernatremia
          3. Normal extracellular volume
              - Essential hypernatremia  เป็นกลุ่มอาการที่ประกอบด้วย  hypernatremia, euvolemia, hyperosmolarity เชื่อว่าเกิดจาก osmoreceptor ผิดหน้าที่

พยาธิสรีรวิทยา
          ภาวะ  hypernatremia  จะทำให้น้ำในเซลล์ออกมาสู่นอกเซลล์มากขึ้น ทำให้ปริมาณ  ECF เพิ่ม ในขณะที่เซลล์เหี่ยวลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เซลล์ที่ได้รับผลมากที่สุดคือ เซลล์สมอง เมื่อเซลล์สมองเหี่ยวลง ปริมาตรของสมองลดลง จะทำให้เส้นเลือดในสมองฉีกขาด เกิด intracerebral hemorrhage  และ subarachnoid hemorrhage ได้
          ถ้าโซเดียมเพิ่มขึ้นอย่างช้า และใช้เวลานาน สมองปรับตัวได้ก็จะไม่เกิดอาการ แต่ภาวะนี้มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับการรักษา คือ ถ้าให้สารละลายที่มีความเข้มข้นต่ำอย่างรวดเร็ว เพื่อหวังจะลดระดับโซเดียมในพลาสม่าลงนั้น น้ำจะเข้าสู่เซลล์สมองอย่างรวดเร็ว ทำให้เซลล์สมองบวมขึ้น และเกิดอาการชักได้

อาการและอาการแสดง
          1. อาการทางระบบประสาท ซึม อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร กระหายน้ำ ชัก อาการมาก น้อย ขึ้นกับระดับของ hypernatremia  และอัตราการเพิ่มของระดับโซเดียม
          2. อาการทางระบบไหลเวียนโลหิต น้ำจะถูกดึงมาสู่  ECF ทำให้อาการของการขาดน้ำมีน้อย ไม่สมดุลย์กับประวัติของการขาดน้ำ ส่วนในกรณีที่ได้รับโซเดียมเกิน จะทำให้มีการดึงน้ำไว้ในระบบไหลเวียนมาก บางครั้งอาจทำให้มีอาการของหัวใจวาย, polmonary edema  หรือความดันโลหิตสูงได้
          3. อาการอื่นๆ เช่น  DI  จะมีอาการดื่มน้ำมาก ปัสสาวะบ่อย

การวินิจฉัย
          1. ประวัติและการตรวจร่างกาย ควรซักประวัติเกี่ยวกับการดื่มน้ำ ปริมาณปัสสาวะที่ขับออกในแต่ละวัน ประวัติเบาหวาน การเสียเหงื่อมาก ท้องเสีย
          2. Urine osmolarity  ถ้าการหลั่ง  ADH  เป็นปกติ และไตก็ตอบสนองเป็นปกติ (urine osmolarity   ควรมีค่าสูงขึ้น และปริมาณปัสสาวะควรน้อยลง urine osmolarity ควรมีค่าเกิน 800 mosm/kg  ยกเว้นใน osmotic diuresis แม้ว่าการหลั่ง ADH จะเป็นปกติ แต่ osmolarity จะไม่สูงมาก เนื่องจากมี solute เป็นส่วนประกอบมากขึ้น ส่วนใน diabetic inspidus จะตรวจพบ urine osmolarity น้อยกว่า 300 mosm/kg

สิ่งส่งตรวจ  (specimen)
          อาจตรวจวัดจาก  serum, plasma  หรือปัสสาวะก็ได้
          สารกันเลือดแข็งตัวที่ใช้ได้ ได้แก่  lithium heparin, ammonium  heparin, lithium oxalate
          การเกิด hemolysis มีผลกระทบน้อยต่อการวัดระดับโซเดียม  ยกเว้นกรณีที่มีเม็ดเลือดแดงมาก อาจทำให้ค่าลดต่ำลง เนื่องจาก dilutional effect