|
|||||||||||||||||||||||||
ข้อบ่งชี้การทดสอบความไวของหลอดลมด้วย Methacholine | |||||||||||||||||||||||||
Methacholine
Challenge Testing (MCT) มีข้อบ่งชี้ดังต่อไปนี้ 2.
ใช้ในการประเมินความรุนแรงของโรคหืดได้ ความจริงการประเมินความรุนแรงของโรคหืดนั้น
อาจพิจารณาได้จาก อาการแสดง การตรวจร่างกาย การเป่า peak flow เช้าและเย็นทุกวัน
นอกจากนี้ค่า PC20 ยังมีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของอาการหอบหืดด้วย
เช่น ผู้ป่วย mild asthma มักจะมี PC20 อยู่ในช่วง 2-8 มก/มล
ผู้ป่วย moderate asthma มักจะพบ PC20 ระหว่าง 0.5-2 มก/มล และผู้ป่วย
severe asthma มักจะพบมีค่า PC20 น้อยกว่า 0.5 มก/มล 3.
ใช้ในการประเมินผลของการตอบสนองต่อการรักษาและติดตามผลการรักษา เช่น
4. ช่วยประเมินอัตราเสี่ยง (relative risk) การเกิดโรคหืด ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง เช่น ญาติของผู้ป่วยในครอบครัวภูมิแพ้ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||
ตารางที่
2 ข้อบ่งชี้ในการทำ Bronchoprovocation Challenge
|
|||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||
ข้อห้ามในการทำ MCT | |||||||||||||||||||||||||
ข้อห้ามในการทดสอบความไวของหลอดลม ได้แก่ ผู้ที่มีหลอดลมอุดกั้นมาก ผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง เป็นต้น แสดงไว้ในตารางที่ 3 ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดแก่ผู้ป่วยที่ได้รับการทดสอบ เพราะผู้ป่วยที่มี FEV1 ต่ำอยู่แล้ว จะมีโอกาสเกิดการอุดตันของหลอดลมมากขึ้นจาก methacholine ซึ่งจะเป็นอันตรายจากการหอบรุนแรงมากได้ ถ้า FEV1 ต่ำกว่า 60% ของค่า predicted ไม่ควรจะทำ MCT และ ถ้า FEV1 ต่ำกว่า 50% จะไม่ทำ MCT อย่างแน่นอน ดังนั้นในกรณีเช่นนี้ ผู้ป่วยควรได้รับยาขยายหลอดลม เพื่อดูว่าหลอดลมที่อุดกั้นนั้น สามารถกลับคืนสู่ปกติได้หรือไม่ โดยให้พ่นยาด้วย Beta 2 agonist 4 puff via spacer แล้ว เป่า spirometry ซ้ำ ถ้าพบว่า FEV1 เพิ่มขึ้น มากกว่า 12% และมากกว่า 200 มล. แสดงว่าผู้ป่วยเป็นโรคหืด ไม่จำเป็นต้องทำ MCT หรือในกรณีที่คุณภาพของ spirometry ไม่ดี ก็จะทำให้แปลการทดสอบไม่ได้ | |||||||||||||||||||||||||
ตารางที่
3 ข้อห้ามในการทำ Methacholine Challenge Testing
|
|||||||||||||||||||||||||
|