การรายงานและการแปลการทดสอบ
          การรายงานผล คือ ค่าของ FEV1 ที่ลดลงจาก baseline หรือจาก postdiluent ในกรณีถ้าใช้ diluent step ด้วย รวมทั้งการแสดงผลของ volume-time, flow-volume curve ด้วย และ PC20


          ถ้า FEV1 ตกลงมาไม่ถึง 20% หลังจากใช้ความเข้มข้นสูงสุดของ methacholine (เช่น 16 mg/ml) แล้ว จึงรายงานว่า PC20> 16 mg/ml ถ้า FEV1 ลดต่ำลงกว่า 20% หลังจากหายใจด้วย diluent ก็ไม่ควรรายงานค่า PC20 เพียงแต่รายงานตามความเป็นจริง และไม่ได้ให้การทดสอบด้วย methacholine


  PC20 = antilog [log C1 + (log C2 - log C1)(20-R1)]
                                                                                      
  R2 - R1
  เมื่อ C1 = second to last methacholine concentration
    C2 = final concentration of methacholine concentration
(Conc. ที่ทำให้ FEV1 ลดลงมากกว่าหรือเท่ากับ 20%)
    R1 = percent fall in FEV1 after C1
    R2 = percent fall in FEV1 after C2

          การใช้ exponential model ดีกว่า linear model[21] ในการ interpolation ระหว่าง concentration หรือ dose และนิยมใช้ PC20 มากกว่า PD20 เพราะคำนวนง่ายกว่าและไม่ยุ่งยากเท่ากับ PD20

          โดยการสร้างกราฟ dose-response curve บน log scale ทำให้เห็นลักษณะของกราฟ ว่าอยู่ในตำแหน่งใด มีความชันมากน้อยเพียงใด ถึงแนวราบสูงสุด (plateau) หรือไม่ และสามารถวัดหาตำแหน่งของ dose หรือ concentration ของน้ำยา methacholine ที่ทำให้ FEV1 ลดลงร้อยละ 20 โดย interpolation ของตำแหน่งจุดสุดท้ายสองจุด ดังรูปที่ 9
 

รูปที่ 9 แสดง dose-response curve และการคำนวณหาค่า PC20

          ถ้าเราใช้ปริมาณ (dose) ของน้ำยา methacholine ในการสร้างกราฟ ค่าที่ได้จะเรียกว่า provocation dose (PD20) แต่ถ้าใช้ความเข้มข้น (concentration) ในการสร้างกราฟ ค่าที่ได้เรียกว่า provocation concentration (PC20)

          แต่เดิมนั้นในกรณีที่ใช้ DeVibiss nebulizer and dosimeter ปริมาณของ methacholine ที่ผู้ทดสอบได้รับ นับเป็นจำนวนครั้งของการหายใจ (breath unit) ซึ่งกำหนดไว้ว่า 1 breath unit (Dose unit) เท่ากับหายใจ 1 ครั้ง ด้วย น้ำยา 1 มก/มล และการหายใจได้รับน้ำยาภายใน 1-3 นาที จะทำให้มีการสะสมน้ำยาในปอดเป็น accumulative dose จึงวัดค่าเป็น PD20 แต่ในปัจจุบัน ATS แนะนำให้ใช้เป็น PC20 เพราะระยะเวลาแต่ละ dose 5 นาที จึงไม่มีการสะสมของยา

          บางครั้งการชั่ง nebulizer ก่อนและหลังผลิตละอองฝอย ทำให้ทราบว่าน้ำยาที่ใช้ไปในแต่ละครั้งเป็นปริมาณที่แน่นอน จึงคำนวนน้ำยา methacholine ที่ใช้ไปเป็น ug หรือ umole ได้ละเอียดยิ่งขึ้นและรายงานเป็น PD20 แต่การทำค่อนข้างยุ่งยากและไม่จำเป็น

         สำหรับวิธี continuous flow โดย Wright nebulizer ระยะเวลาห่างกันทุก 5 นาที เชื่อว่าไม่มีน้ำยาสะสม จึงใช้เป็นค่า PC20 ในกรณีของ Reservior method นั้น ปริมาณละอองฝอยของน้ำยาที่ได้ ค่อนข้างแน่นอน โดยการชั่งกระเปาะ nebulizer ก่อน จึงทำให้ทราบปริมาณของน้ำยาที่ถูกใช้ไปจึงอาจรายงานเป็น PD20 หรือ PC20 ก็ได้ แต่นิยมรายงานเป็น PC20

          แต่เดิมนั้นปริมาณ accumulation dose ของ methacholine มากที่สุดคือ 200 dose unit (breath unit) หรือความเข้มข้นสูงสุดคือ 25 มก/มล ในปัจจุบัน ATS เลิกใช้ breath unit แล้วและให้ใช้ความเข้มข้นสูงสุด 16 มก/มล โดยถ้า FEV1 ลดลงเท่ากับหรือมากกว่าร้อยละ 20 จาก post-diluent FEV1 จะถือว่าการทดสอบนั้นได้ผลบวก (positive test) คือผู้ทดสอบมีภาวะหลอดลมไวมากผิดปกติคือ PC20< 16 mg/ml ดังแสดงในตารางที่ 2-6
ตารางที่ 6 การแบ่งระดับของความไวหลอดลม
PC20 (mg/ml) Interpretation
> 16 Normal bronchial responsiveness
4.0-16 Borderline BHR
1.0-4.0 Mild BHR (positive test)
< 1.0 Moderate to severe BHR

          ลักษณะของกราฟในคนปกตินั้นพบว่า FEV1 แทบจะไม่ลดต่ำลงมาเลยและมีลักษณะเป็น plateau แม้ว่าจะใช้ความเข้มข้นของน้ำยาสูงมาก[22] ดังแสดงในรูปที่ 2-5 สำหรับผู้ที่มีหลอดลมไวมากผิดปกตินั้น ลักษณะของกราฟมักจะมีดังนี้
- กราฟอยู่ค่อนไปทางด้านซ้าย (shift to the left)
  - กราฟมีความชันมาก (steep slope)
  - มักไม่พบมีลักษณะโค้งลงตามแนวราบ (no plateau response) ดังกราฟ A และ B ในรูป 2-4

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยต่างๆ ที่ควรนำมาพิจารณาในการแปลผลของ PC20
1. โอกาสที่จะเป็นโรคหืดในผู้ป่วยแต่ละคน เช่น อาการที่ได้จากการให้ผู้ทดสอบตอบแบบสอบถามก่อนการทดสอบ (Pretest questionnaire)
2. การที่มีภาวะหลอดลมอุดกั้นอยู่ก่อน เช่น ผู้ป่วยเป็น COPD
3. คุณภาพของการทำสมรรถภาพปอดของผู้ป่วยต้องดี เชื่อถือได้
4. อาการของผู้ป่วยที่เกิดขึ้นเมื่อเสร็จการทดสอบ
5. สมรรถภาพปอดที่ดีขึ้นหลังจากได้ยาขยายหลอดลม
6. Sensitivity และ specificity ของการทดสอบวัดความไวหลอดลม

          Pretest probability คือ การใช้แบบสอบถามเพื่อดูความน่าจะเป็นของโรคหืด ก่อนที่จะทำการทดสอบ MCT และ Posttest probability คือ ความน่าจะเป็นโรคหอบหืด เมื่อพิจารณาทั้ง pretest และ ผลของ MCT ความแตกต่างระหว่าง pretest กับ posttest probability บ่งถึงความสำคัญของ MCT ดังนั้นจึงอาจจะช่วยหรืออาจ misleading ในการวินิจฉัยโรคได้

          นอกจากนี้การแปลผลความไวของหลอดลม ต้องพิจารณาถึงความไวและความจำเพาะของการทดสอบนั้นด้วย ความไว (sensitivity) ของการทดสอบ MCT หมายถึงจำนวนร้อยละของผู้ป่วยโรคหอบหืดที่มีการทดสอบได้ผลบวก (positive test) ความจำเพาะ (specificity) ของการทดสอบ MCT หมายถึง จำนวนร้อยละของผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคหืด ที่มีการทดสอบได้ผลลบ (negative test)้

          การทดสอบความไวของหลอดลมได้ผลลบ หมายถึงการที่สมรรถภาพปอด FEV1 ไม่ลดลงถึง 20% เมื่อผู้นั้นได้รับการสูดน้ำยา methacholine ที่มีความเข้มข้นสูงสุด (16-25 mg/ml) ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ PC20 > 8-25 mg/ml และการทดสอบได้ผลบวกหมายถึง PC20< 8 หรือ 16 mg/ml ค่าที่เหมาะสมในการแบ่งระหว่างการทดสอบเป็นบวกและลบ (optimal cutoff point) ได้จากการใช้ receiver-operator characteristic (ROC) curve ซึ่งทำให้ค่า PC20 ที่ดีที่สุดในการแบ่งแยกระหว่างผู้ที่เป็นโรคหอบหืด และผู้ที่ไม่ใช่หอบหืด อยู่ในระหว่าง 8-16 mg/ml[23]

          กรณีที่มีผลบวกเทียม (false-positive test) คือ PC20< 8 mg/ml แต่ผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคหืด อาจเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยเป็น allergic rhinitis หรือ สูบบุหรี่ โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) หรือภาวะอื่นๆ จะเห็นได้ว่า MCT นี้ค่อนข้างจะมีผลบวกเทียมในอัตราที่สูงมากจึงทำให้คุณค่าของ positive predictive value ค่อนข้างต่ำ ผู้ป่วย allergic rhinitis ประมาณ 30% จะตรวจพบว่า PC20 ต่ำในระดับ borderline BHR ดังนั้น ATS guideline จึงจัด PC20 ระหว่าง 4-16 mg/ml เป็น borderline BHR เพื่อจะได้ทำให้ค่าจำเพาะของการทดสอบดีขึ้น และนอกจากนี้การใช้แบบสอบถามก่อนการทดสอบความไวของหลอดลมที่เรียกว่า pretest probability of ashma จะทำให้ specificity ของการทดสอบดีขึ้น

          สำหรับผลลบเทียม (false-negative test) ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคหืดแต่ PC20 > 8-25 mg/ml พบได้น้อย[24] จึงทำให้ค่า negative predictive value มากกว่า 90% ถ้า pretest propability อยู่ในช่วง 30-70% ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จึงสรุปว่าถ้าการทดสอบ MCT ให้ผลลบก็สามารถจะบอกได้เลยว่าผู้นั้นไม่ได้เป็นโรคหืด แต่ก็ต้องพิจารณาถึงปัจจัย 3 ประการที่ทำให้ MCT negative ได้แก่
1. ผู้ป่วยได้รับยา anti-inflammatory agent ทำให้ผู้ป่วยไม่มีอาการและ BHR ดีขึ้น แต่ถ้าผู้ป่วยยังมีอาการอยู่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
2. ในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการเนื่องจากไม่ได้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้มานานแล้ว
3. ผู้ที่เป็น occupational asthma ที่เกิดจากการแพ้ antigen หรือ สารเคมีเพียงตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งจะมีอาการเฉพาะเวลาได้รับสัมผัสกับสารนั้นๆ เท่านั้น

          ในแง่การศึกษาทางระบาดวิทยา การใช้แบบสอบถาม pretest probability ในการถามประชากรทั่วไป โดยการเลือกแบบเดาสุ่ม จะเท่ากับเป็นการหาความชุกของโรคหืด ซึ่งค่าที่ได้จะค่อนข้างต่ำประมาณ 5 %[25,26] ในกรณีเช่นนี้ MCT ที่ได้ผลบวกจะค่อนข้างแม่นยำในการบ่งชี้ถึงว่าผู้นั้นเป็นโรคหืด

          ในการศึกษาทางระบาดวิทยา เมื่อการทำการทดสอบความไวหลอดลมแล้วพบว่า ผู้ที่มี PC20 ระหว่าง 1-16 mg/ml และไม่มีอาการของหอบหืด อาจบ่งได้ว่า[27,28,29]
1. ผู้นั้นเป็น mild intermittent asthma แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคอยู่
2. หลังได้รับการกระตุ้นผู้ป่วยอาจมีอาการอึดอัดแต่ไม่รู้ว่าผิดปกติ
3. ผู้นั้นไม่เคยออกกำลังกายหรือไม่เคยมีประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้หลอดลมตีบตัน
4. ผู้ที่มี mild BHR เกิดจากภาวะอื่น เช่น ภายหลังจากการติดเชื้อไวรัส การสูบบุหรี่
5. ผู้ที่เป็น Subclinical (asymptomatic) asthma ซึ่งจะมีอาการของหืดในอนาคต เนื่องจากพบว่าประมาณ 15-45% ของผู้ที่มีภาวะหลอดลมไวแต่ไม่มีอาการ จะเกิดเป็นโรคหืดในอีก 2-3 ปี ต่อมา

          ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการแสดงที่บ่งว่าเป็นโรคหอบหืด การทำ pretest probability จะได้ค่าสูงมากกว่าประชากรทั่วไป อย่างไรก็ตามถ้า pretest probability อยู่ระหว่าง 30-70% การทดสอบความไวของหลอดลมก็มีประโยชน์ เช่น PC20 1 mg/ml จะทำให้ posttest likelihood ประมาณ 90-98% แต่ถ้า pretest probability 30% และ PC20 4 mg/ml จะทำให้ posttest likelihood ประมาณ 70%

          ถ้าแบบสอบถามก่อนทำการทดสอบ พบว่าผู้นั้นมีโอกาสเป็นโรคหืดประมาณ 30-70%
และ ค่า PC20 > 16 mg/ml ก็อาจกล่าวด้วยความมั่นใจว่าผู้ป่วยไม่น่าจะเป็นโรคหืด แต่ถ้าค่า PC20 < 1 mg/ml ก็บ่งว่าผู้ป่วยน่าจะเป็นโรคหืด แต่ถ้า PC20 อยู่ระหว่าง 1-16 mg/ml ก็ยากที่จะกล่าวได้ว่าผู้นั้นเป็นโรคหืดหรือไม่ อย่างไรก็ตามถ้าผู้ป่วยมีอาการเหมือนโรคหืดและ PC20 ต่ำก็น่าจะกล่าวได้ว่าผู้นั้นเป็นโรคหืดจริง

          นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีผลทำให้ BHR ดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ่งปัจจัยต่างๆ ควรจะควบคุม เพื่อให้การทำการทดสอบความไวของหลอดลมนั้นดีที่สุด เท่าที่จะเป็นได้[30] ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะหลอดลมอุดตันอยู่แล้ว ก็ยากที่แปลผลของ PC20

          การทำ MCT ซ้ำเพื่อความแน่ใจหรือดูผลของการรักษาต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆที่อาจมีผลทำให้ BHR ดีขึ้นหรือแย่ลง โดยควรจะพยายามควบคุมเพื่อให้การทำ MCT นั้นดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ปัจจัยต่างๆ ได้แก่
1. การเพิ่งได้รับสัมผัสสารก่อภูมิแพ้จะมีผลต่อการทดสอบอย่างมาก
2. การเพิ่งได้รับสัมผัสสารเคมีก็มีผลต่อการทดสอบอย่างมาก
3. การใช้ยารักษาจะมีผลอย่างมากเช่นกัน
4. การติดเชื้อระบบการหายใจมีผลเล็กน้อย

          นอกจากนี้อาจพบการดื้อต่อยา methacholine ได้ในคนปกติถ้าการทดสอบนั้นทำซ้ำภายในระยะเวลาน้อยกว่า 24 ชั่วโมงแต่ไม่เกิดในผู้ป่วยโรคหอบหืด[31]