เมื่อดูจากการกระจายของปริมาตรเลือดที่หมุนเวียนอยู่ในระบบไหลเวียน
จะพบได้ว่าประมาณ สองในสาม
ของเลือดทั้งหมดจะอยู่ในระบบเลือดดำ และประมาณอีกหนึ่งในหกของทั้งหมดจะอยู่ในส่วนของระบบหลอดเลือดแดง
ปริมาตรเลือดที่เหลือกระจายอยู่ตามหลอดเลือดฝอยของร่างกายและหลอดเลือดในปอด
แต่การกระจายของความดัน
จะแตกต่างจากการกระจายของปริมาตรเลือดอย่างมากโดยเกือบจะตรงกันข้าม ความแตกต่างนี้เกิดจากโครงสร้าง
(structure) และความยืดหยุ่น (elasticity) ของหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดง
รวมทั้ง เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างความดันกับปริมาตรนั่นเอง แม้ว่าหลอดเลือดแดงจะเป็นส่วนที่สำคัญต่อการ
ส่งเลือดไปส่วนต่างๆ เพื่อการกระจายปริมาตรเลือดอย่างเหมาะสม แต่ก็มิใช่ว่าหลอดเลือดแดงทั้งหมดจะ
เหมือนกัน หากศึกษาลงไปในรายละเอียดแล้วจะพบว่าหลอดเลือดมีความแตกต่างกันให้เห็นได้ทั้งในด้านโครงสร้าง
(structures) และหน้าที่ (functions) ซึ่งสามารถแบ่งหลอดเลือดได้เป็น
3 กลุ่มคือ หลอดเลือดแดงแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ และอีกกลุ่มหนึ่งคือ
หลอดเลือดดำ |
ก.
หลอดเลือดเอออร์ตา และหลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta และ large arteries)
ข. หลอดเลือดแดงเล็ก
และหลอดเลือดแดงอาร์เทอริโอส์ (small arteries และ arterioles)
ค. หลอดเลือดดำ
(veins) |
ก. เอออร์ตาและหลอดเลือดแดงใหญ่ |
หลอดเลือดทุกชนิดประกอบด้วยชั้นของเอนโดธีเลียม
(endothelium) และมีสัดส่วนของ กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) อิลาสติน
(elastin) และคอลลาเจน (collagen) ที่แตกต่างกันไป ในส่วนของเอออร์ตาและหลอดเลือดแดงใหญ่นั้นจะมีปริมาณของ
elastin อยู่ที่บริเวณผนังเป็นปริมาณที่มาก จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หลอดเลือดชนิดนี้มีความสามารถที่จะยืดขยาย
(expansion) ได้มาก พร้อมกับสามารถ หดตัวกลับคืน (recoil) ได้มากเช่นกัน
คุณสมบัติอันนี้เองที่เอื้อให้หลอดเลือดชนิดนี้สะสมพลังงานส่งผลให้เกิดความดันได้อย่างมาก
เมื่อเกิดหลอดเลือดขยาย (stretch) ขณะที่มีการบีบตัวของหัวใจ เมื่อเกิดมีการหดตัวกลับคืน
(rebound) ของผนังหลอดเลือดในช่วงถัดมาที่มีการคลายตัวของหัวใจ พลังงานความดันนี้ก็ถูกปลดปล่อยออกมาในรูปของพลังงานกล
(kinetic energy) ของการไหล ซึ่งกลไกนี้เองช่วยให้มีการขับเคลื่อนปริมาตรเลือดไปสู่เนื้อเยื่อได้ในช่วงของไดแอสโตลิกเฟส
(diastolic phase) และยังทำให้เกิดการไหลของเลือดเข้าสู่หลอดเลือดฝอยอีกด้วย
ดังนั้นนับได้ว่าหลอดเลือดแดงใหญ่เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เก็บสะสมความดันของระบบไหลเวียน
(blood pressure storer) ความดันของหลอดเลือดแดงใหญ่มีค่าปกติประมาณ
120/80 มม.ปรอท |
ข.
หลอดเลือดแดงเล็กและหลอดเลือดแดงอาร์เทอริโอส์ |
หลอดเลือดเหล่านี้มีเส้นใยอิลาสตินน้อยกว่าแต่มีปริมาณของกล้ามเนื้อเรียบตามวง
(circular smooth muscle) ของหลอดเลือดมากกว่าหลอดเลือดแดงใหญ่ ดังนั้นหลอดเลือดชนิดนี้จึงมีความสามารถในการหดตัว
(contractile capability) ได้ดี ซึ่งเมื่อได้รับการกระตุ้นจะสามารถหดตัวทำให้มีขนาดของท่อภายในเล็กลง
(constriction of lumen) จะไปขัดขวางทำให้เลือดไหลไม่สะดวก เกิดการเพิ่มขึ้นของความดันย้อนกลับไปทางด้านหัวใจ
และในขณะเดียวกันความดันไปทิศทางส่วนปลายสู่ด้านหลอดเลือดฝอยมีค่าลดลง
(เนื่องจากเลือดไปหลอดเลือดฝอยได้น้อยลงด้วย) ดังนั้น หลอดเลือดชนิดนี้ทำหน้าที่คล้ายเป็นฝาจุกปิดกั้น
(stopcocks) ของระบบไหลเวียน และมักจะถูกเรียกว่าเป็นหลอดเลือดต้านทาน
(resistance vessels) ความดันปกติภายในหลอดเลือดแดงขนาดเล็กมีค่าประมาณ
60-90 มม.ปรอท และในหลอดเลือดอาร์เทอริโอส์มีค่าประมาณ 40-60 มม.ปรอท |
ค.
หลอดเลือดดำ |
หลอดเลือดชนิดนี้มักมีผนังบาง
มีปริมาณอิลาสตินน้อยและมีกล้ามเนื้อเรียบที่ผนังหลอดเลือด ปริมาณไม่มากนัก
ความดันภายในหลอดเลือดนี้มีค่าต่ำ โดยทั่วไปอยู่ในช่วงระหว่าง 0-10 มม.ปรอท
ความดันค่าสูงจะอยู่บริเวณ
หลอดเลือดดำเล็กใกล้หลอดเลือดฝอย ค่าต่ำอยู่บริเวณใกล้ช่องทางที่หลอดเลือดดำ
superior และ inferior vena cavae เปิดเข้าสู่ right atrium ระบบหลอดเลือดดำจะมีเลือดอยู่มากกว่าระบบหลอดเลือดแดงโดยมีอยู่เป็นสี่เท่าของระบบหลอดเลือดแดง
นอกจากนี้ระบบหลอดเลือดดำ ยังมีความสามารถในการเก็บเลือดได้อีกมาก โดยเมื่อเพิ่มปริมาณเลือดหรือสารน้ำเข้าไปในระบบไหลเวียนจะพบว่า
90% ของสารน้ำที่เพิ่มเข้าไปจะเข้าไปรวมสะสมอยู่ที่ระบบหลอดเลือดดำ เนื่องจากระบบหลอด
เลือดดำมีความสามารถในการยืดขยายตัวได้อย่างมาก (distensibility) จากคุณสมบัติอันนี้เองหลอดเลือดดำ
จึงได้ชื่อว่าเป็นแหล่งเก็บปริมาตร (volume storers) ของระบบไหลเวียน |