การตรวจประเมิน
การตรวจประเมิน เริ่มจากการซักประวัติ ตรวจร่างกายโดยวิธีการทางกายภาพบำบัด ดังนี้
1. สภาพทั่วไปของผู้ป่วย โดยพิจารณาถึงโครงสร้างของร่างกายว่ามีการผิดรูปเนื่องจากภาวะ Lymphedema เช่น การมีกระดูกสันหลังคดโค้ง (scoliosis) เป็นต้น
2. ความเจ็บปวด อาจจะมีสาเหตุจากการยึดติดของข้อต่อ เช่น มีการติดยึดของข้อไหล่ ข้อนิ้ว เป็นต้น
3. การรับความรู้สึก เช่น การรับความรู้สึกสัมผัส การรับความรู้สึกร้อนเย็น เป็นต้น
4. ช่วงการเคลื่อนไหวของแขนข้างที่บวม
5. สีผิวและอุณหภูมิของแขนข้างที่บวม
6. ความรุนแรงของการบวม โดยทำการวัดเส้นรอบวงที่ระดับต่างๆ ดังนี้
  •  วัดที่ระดับ metacarpophalangeal joint
•  วัดที่ระดับ wrist joint
•  วัดที่ระดับใต้ต่อ lateral epicondyle 10 cm.
•  วัดที่ระดับเหนือต่อ lateral epicondyle 15 cm.
  โดยความยาวของเส้นรอบวงจะต้องมีความแตกต่างกันอย่างน้อย 2 เซนติเมตร ที่ระดับใดระดับหนึ่งจึงจะเรียกว่าเกิดภาวะ lymphedema
เราสามารถแบ่งระดับการบวมออกเป็น 4 ระดับ เพื่อประโยชน์ในการพยากรณ์โรคดังนี้
1. Latency stage (1+) การไหลเวียนกลับของระบบน้ำเหลืองลดลง ไม่พบการบวมอย่างเห็นได้ชัด บางทีอาจจะคลำไม่เจอทำให้ผู้ป่วยไม่นึกถึงว่าแขนตนเองมีอาการบวมเกิดขึ้นแล้ว
2. Reversible Lymphedema (2+) มีการสะสมของโปรตีนในชั้นไขมันมากขึ้น การไหลเวียนกลับของน้ำเหลืองทำได้ไม่ดี เมื่อกดดูจะพบภาวะ pitting edema คือ เมื่อกดลงบนผิวหนังจะ บุ๋มและคืนตัวภายใน 5 วินาที
3. Spontaneously Irreversible Lymphedema (3+) มีการสะสมของโปรตีนมากขึ้น น้ำเหลืองมีการไหลเวียนกลับไม่ดี ภาวะ pitting edema เริ่มเปลี่ยนไปคือเมื่อกดจะมีรอยบุ๋มลึกมากกว่าเดิม โดยจะคืนตัวภายใน 5- 30 วินาทีต่อมา เนื่องจากเกิดพังผืด (fibrosis) ขึ้น
4. Lymphostatic Elephantiasis (4+) มีการสะสมของโปรตีนมากขึ้น น้ำเหลืองมีการไหลเวียนกลับยากมากขึ้น ลักษณะของสีผิวหนังเริ่มเปลี่ยนไป พบภาวะ non pitting edema คือเมื่อกดดูจะพบว่ามีลักษณะแข็งกลายเป็นพังผืด(fibrosis) โดยขนาดของแขนในระยะนี้จะมีการบวมเพิ่มมากขึ้นเป็น 1.5-2 เท่าของขนาดปกติ
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย