การอ่านและแปลผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติตามแผนภูมิ มีขั้นตอนดังนี้
1. ระยะ RR interval คงที่หรือไม่
การวัดระยะ RR interval เป็นจุดเริ่มต้นของการอ่านและแปลผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติ
ในการที่จะบอกว่าระยะ RR interval คงที่ (RR interval regular) ได้ก็ต่อเมื่อระยะ
RR interval ในของแต่ละ QRS complex มีความแตกต่างกันน้อยกว่า 0.08 วินาที
จากการวัดระยะ RR interval สามารถแบ่งลักษณะคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้เป็น 2 กลุ่ม
ดังนี้
1.1
คลื่นไฟฟ้าหัวใจที่มีระยะ RR interval คงที่ ( RR interval regular)
ในกรณีนี้ลำดับต่อไปในการแปลผลได้แก่การหาอัตราการเต้นของหัวใจ (ventricular
rate) โดยอาศัยการวัดระยะ RR interval ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจต่อนาทีเท่ากับ
60,000 หารด้วยระยะเวลา RR interval ที่เป็น millisecond อัตราการเต้นของหัวใจที่ปกติมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุของผู้ป่วย
ในการอ่านและแปลผลว่าอัตราการเต้นของหัวใจ จากคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้น มีอัตราการเต้นที่ช้าผิดปกติ
(bradycardia) มีอัตราการเต้นที่ปกติ (normal) หรือมีอัตราการเต้นที่เร็วผิดปกติ
(tachycardia) ต้องอาศัยทั้งอายุของผู้ป่วยและจุดกำเนิดของภาวะหัวใจที่เต้นผิดปกติ
1.2
คลื่นไฟฟ้าหัวใจที่มีระยะ RR interval ไม่คงที่ (RR interval irregular)
ความไม่คงที่ของระยะ RR interval อาจมีลักษณะที่มีระยะ RR interval ไม่คงที่ตลอดเวลา
(continuosly irregular) หรือมีระยะ RR interval ไม่คงที่เป็นครั้งคราว (intermittenly
irregular) โดยอาจมีระยะ RR interval ที่สั้นกว่าปกติ หรือมีระยะ RR interval
ที่ยาวกว่าปกติ
2. ลักษณะรูปร่างและระยะเวลาของ QRS complex
ลักษณะและรูปร่างของ QRS
complex บ่งบอกถึงลําดับและลักษณะของการกระตุ้นกล้ามเนื้อใน ventricle ในภาวะปกติ
ซึ่งมีลำดับการกระตุ้น ventricle ผ่านทาง AV node, bundle branch และ Purkinje
fiber ถึงกล้ามเนื้อหัวใจ ระยะเวลาของ QRS complex ไม่ควรยาวกว่า 0.10-0.12
วินาที ในกรณีที่ระยะเวลาของ QRS complex ยาวผิดปกติ หรือมีรูปร่างผิดปกติ
อาจมีสาเหตุจาก
2.1
การมี bundle branch block
โดยอาจมีสาเหตุจาก right หรือ left bundle branch block ลักษณะของ QRS complex
พบว่ามี initial force ปกติแต่มี terminal force ยาวขึ้นและมีลักษณะของ rsR'
ใน precordial lead
2.2
Wolff
Parkinson White syndrome (WPW Syndrome)
ลักษณะคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่พบมีระยะ PR interval สั้นกว่าปกติร่วมกับมี delta
wave ทำให้พบว่ามีระยะของ initial force ของ QRS complex ยาวขึ้นแต่มีระยะเวลาของ
terminal force ปกติ และมี T wave อยู่ในทิศทางตรงข้ามกับ QRS complex
2.3
Intraventricular
comduction delayed
พบในภาวะที่เป็นพิษ (toxicity) จากยาบางชนิด quinidine, ภาวะ myocarditis,
hypoglycemia, hyperkalemia หรือ myocardial ischemia ลักษณะของ QRS complex
พบว่ามีระยะเวลาของ initial และ terminal force ยาวผิดปกติ
2.4
การมี ventricular depolarization
ที่มีจุดกําเนิดมาจากการกระตุ้นที่ ventricle เช่นมีจุดกำเนิดมาจากกล้ามเนื้อของ
ventricle เช่นในกรณี premature ventricular contraction , ventricular tachycardia
หรือเกิดจากการใส่ artificial pacemaker ที่ ventricle ลักษณะของ QRS complex
คล้ายการมี bundle branch block
2.5
มีจุดกำเนิดมาจาก atrium หรือ AV junction แต่มีนำกระแสไฟฟ้าผิดปกติ (aberrant
conduction)
3. ลักษณะของ P wave
P wave บ่งบอกถึงการมี atrial
depola-rization ซึ่ง P wave อาจมีลักษณะปกติโดยเห็น P wave ชัดเจน หรือมีลักษณะเป็น
flutter
wave
โดยเห็น P wave ชัดเจน แต่มีระยะ PP interval สั้นกว่าปกติ และมีลักษณะคล้ายฟันเลื่อย
หรืออาจมีลักษณะของ fibrillation wave
โดยเห็น P wave ไม่ชัดเจน
ในกรณีที่เห็น P wave ชัดเจน
การคำนวณ P wave axis จะช่วยบอกถึงตําแหน่งที่ให้กําเนิดของ impulses โดยถ้า
P wave axis อยู่ระหว่าง 0-90o แสดงว่ามีจุดกําเนิดของ impulse
มาจาก SA node เป็น sinus rhythm แต่ถ้า P wave axis อยู่ระหว่าง 91-180o
เป็นลักษณะของ high left atrial rhythm ถ้า P wave axis อยู่ระหว่าง 180-269o
เป็นลักษณะของ low left atrial rhythm และถ้า P wave axis อยู่ระหว่าง 270-360o
เป็นลักษณะของ low right atrial rhythm หรือ junctional
rhythm
4. ความสัมพันธ์ของ P wave และ QRS complex
การหาความสัมพันธ์ของ P wave
และ QRS complex ช่วยบอกถึงลําดับการกระตุ้นของ atrium และ ventricle โดยทั่วไปถือว่าลําดับของการเต้นของหัวใจที่เริ่มต้นจาก
atrium มายัง ventricle ก็ต่อเมื่อลักษณะคลื่นไฟฟ้าหัวใจพบมี P wave นําหน้า
QRS complex โดยมีระยะ PR interval น้อยกว่า 0.30 วินาทีและในกรณีที่พบว่ามี
P wave เกิดขึ้นตามหลัง QRS complex โดยมีระยะ RP interval น้อยกว่า 0.30
วินาที ถือว่าจุดกําเนิดของคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้นเริ่มจาก ventricle ก่อนแล้วจึงย้อนกลับขึ้นมากระตุ้น
atrium ในภายหลัง
4.1
ในกรณีที่มีระยะ RR interval คงที่ ความสัมพันธ์ของ P wave และ QRS
complex อาจมีลักษณะเป็น normal rhythm ,
first
degree AV block
โดยมีระยะ PR interval ยาวกว่า 0.20 วินาทีหรือเป็น second
degree AV block ,
third
degree AV block
หรือมีลักษณะเป็น
ectopic atrial rhythm
หรือ junctional rhythm
เป็นต้น
4.2
ในกรณีที่มีระยะ RR interval ไม่คงที่ตลอดเวลา ต้องดูระยะ PP interval
ในกรณีที่ระยะ PP interval ไม่คงที่ แต่ความสัมพันธ์ระหว่าง P wave และ QRS
complex ปกติ ลักษณะคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติอาจเป็น sinus
arrhythmia
หรือ wandering pacemaker
แต่ถ้ามีระยะ PP interval คงที่ ลักษณะของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติอาจเป็น
type
I second degree AV block (Wenkebach block)
หรืออาจพบในบางกรณีของ type II second degree AV block
4.3
ในกรณีที่มีระยะ RR interval ไม่คงที่เป็นครั้งคราว โดยระยะ RR interval
นั้นอาจสั้นหรือยาวกว่าปกติ ในกรณีที่ระยะ RR interval สั้นกว่าปกติแสดงว่า
QRS complex เกิดขึ้นในระยะเวลาที่เร็วผิดปกติ (premature) พบได้ในภาวะ premature
atrial contraction ,
premature
junctional contraction
หรือ premature ventricular contraction
ทั้งนี้ขึ้นกับความสัมพันธ์ ของ P wave และ QRS complex และรูปร่างของ QRS
camplex ส่วนในกรณีที่ระยะ RR interval ยาวกว่าปกติแสดงว่า QRS complex มาช้ากว่าปกติพบได้ในภาวะ
second
degree AV block ,
nonconducted
premature atrial contrac-tion
หรือ pause with escape beat เป็นต้น |