Abdominal
pain
เด็กปวดท้อง
เป็นปัญหาสำคัญและพบได้บ่อย หลักการในการวินิจฉัย เช่นเดียวกับในผู้ใหญ่
ควรซักประวัติจากพ่อแม่ หรือพี่เลี้ยงเด็ก หรือจากเด็กเอง ถ้าเป็นเด็กโต
ต่อจากนั้นควรตรวจร่างกายให้ละเอียด และวิเคราะห์จากการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
และการตรวจพิเศษอื่นๆ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้อง ปัญหาเด็กปวดท้อง
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ปวดท้องเฉียบพลัน และปวดท้องเรื้อรัง
|
Acute
abdominal pain |
เด็กมีอาการปวดท้องแบบเฉียบพลัน
โดยไม่เคยมีอาการมาก่อน ส่วนมากเป็นอยู่ชั่วระยะเวลาไม่นาน ก่อนมาพบแพทย์ อาการปวดมักจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โรคในกลุ่มนี้อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หลักการดูแลรักษา
ให้จัดกลุ่มผู้ป่วยว่าอยู่ในกลุ่มใด เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ง่าย ได้แก |
 |
กลุ่มปวดท้องจากภาวะลำไส้อุดตัน
รายละเอียดอยู่ในบท intestinal obstruction |
 |
กลุ่มปวดท้องเฉพาะที่
(localized abdominal pain) ปวดเฉพาะที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง แนวทางในการวินิจฉัยโรค
อาศัยจากตำแหน่งที่ปวด ซึ่งจะบ่งชี้ว่าน่าจะปวดท้องจากสาเหตุใด เช่น
ปวดท้องน้อยด้านขวา บ่งว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ปวดท้องชายโครงขวา
น่าจะนึกถึงโรคของตับและทางเดินน้ำดี เป็นต้น สาเหตุที่พบบ่อยในกลุ่มนี้
ได้แก่ ไส้ติ่งอักเสบ |
 |
กลุ่มเยื่อบุช่องท้องอักเสบทั่วไป
(generalized peritonitis) ปวดทั่วไปทั้งท้อง มีลักษณะหน้าท้องแข็งเกร็ง
โรคในกลุ่มนี้พบบ่อย ได้แก่ ไส้ติ่งแตกทะลุ |
 |
กลุ่มปวดท้องหลังได้รับภยันตราย |
|
โรคที่พบบ่อยและ/หรือมีความสำคัญพอสังเขป |
Acute
appendicitis  |
ไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน
พบได้ในเด็กทุกวัย แต่พบบ่อยในช่วงอายุ 10-15 ปี ซึ่งในกลุ่มนี้มักจะมีลักษณะอาการคล้ายกับในผู้ใหญ่
คือ เริ่มปวดท้องทั่วๆ ไป โดยเฉพาะบริเวณรอบสะดือ ต่อมาจึงปวดมากขึ้น และเปลี่ยนตำแหน่งที่ปวดเป็นท้องน้อยด้านขวา
ระยะแรกไม่มีไข้
มักไม่มีประวัติท้องเสีย ระยะต่อมาจึงเริ่มมีไข้ ถ้าตรวจเลือด CBC อาจพบปริมาณเม็ดเลือดขาวสูงขึ้นหรือไม่ก็ได้
ในกรณีเด็กที่โตพอที่จะสื่อสารกันได้นั้น หลักฐานสำคัญที่มีน้ำหนักมากที่สุด
ได้แก่ การกดเจ็บบริเวณท้องน้อยด้านขวา แนวทางการวินิจฉัยและรักษาไส้ติ่งอักเสบในเด็ก
เช่นเดียวกับในผู้ใหญ่
|
ไส้ติ่งแตกทะลุ
(ruptured appendicitis) |
ไส้ติ่งแตก
พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เนื่องจากการวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ มีความยากลำบากในเด็กเล็ก
เพราะไม่ได้ประวัติละเอียด รวมทั้งเด็กอาจไม่ให้ความร่วมมือ ในการตรวจร่างกาย
เด็กส่วนมาก มีลักษณะอาการแบบไส้ติ่งอักเสบมาก่อน ต่อมาเมื่อไส้ติ่งทะลุ
เด็กจะมีอาการปวดท้องมากขึ้น ที่ท้องน้อยทั้ง 2 ข้าง หรือทั่วทั้งท้อง มีไข้สูง
อาเจียนมากขึ้น และท้องอืดจาก ileus เมื่อไส้ติ่งแตกทะลุในเด็กเล็ก การอักเสบจะกระจายไปทั่วท้องได้รวดเร็วกว่าในผู้ใหญ่
เนื่องจาก omentum ยังไม่เจริญเติบโตไม่เต็มที่ จึงไม่สามารถมาปิดคลุม (wall
off) ไส้ติ่งที่อักเสบ ทำให้มีลักษณะเยื่อบุช่องท้องอักเสบทั่วไป ถ้าเป็นอยู่นานโดยไม่ได้รับการรักษา
อาจเกิดลักษณะลำไส้อุดตันได้ รักษาโดยการผ่าตัดร่วมกับให้ยาปฏิชีวนะ
ในเด็กโต
ไส้ติ่งแตกทะลุอาจแสดงด้วยปัญหาปวดท้อง ร่วมกับมีก้อนบริเวณท้องน้อยด้านขวา
ซึ่งอาจเป็น appendicial phlegmon หรือ appendicial abscess หลักการรักษา
ให้ลองใช้วิธี conservative โดยให้ยาปฏิชีวนะ ถ้าอาการดีขึ้น ปวดท้องน้อยลง
ไข้ลดลง ก็ให้ยาต่อจนอาการหายไป แล้วจึงนัดมาผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกภายหลัง
ถ้าไม่ดีขึ้น แนะนำให้นำผู้ป่วยไปผ่าตัดเพื่อระบายหนอง หากสามารถตัดไส้ติ่งออกได้
ก็ทำในคราวเดียวกัน แต่ถ้าพยาธิสภาพรุนแรง แนะนำให้ระบายหนองเพียงอย่างเดียว
|
Acute
segmental enteritis |
พบในประเทศไทยได้บ่อยกว่าทางตะวันตกมาก
โดยเฉพาะในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
แต่สันนิษฐานว่าเชื้อ Clostridium Welchii type C อาจมีบทบาทสำคัญ ลำไส้มีลักษณะอักเสบเป็นช่วง
ๆ อาจพบได้ทั้งที่ jejunum หรือ ileum ถ้าเป็นรุนแรงมากอาจเกิดการทะลุของลำไส้ได้
เด็กมาด้วยอาการปวดท้อง
มีไข้ ท้องเสีย และอาจมีมูกเลือดปนในอุจจาระ อาการทั่วไปมักจะทรุดลงรวดเร็ว
การตรวจร่างกายในระยะแรก มักจะพบอาการกดเจ็บเฉพาะที่ ส่วนมากเป็นบริเวณท้องน้อยค่อนมาทางด้านขวา
ซึ่งอาจทำให้วินิจฉัยผิดพลาดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ถ้าเป็นมาก จะกดเจ็บทั่วไปทั้งท้อง
การตรวจทางทวารหนัก อาจได้มูกเลือดปนกับอุจจาระ
การตรวจเลือดมักจะพบเม็ดเลือดขาวสูง
และอาจพบเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ ลักษณะของภาพรังสีช่องท้อง เป็นแบบ adynamic
ileus และลำไส้ส่วนที่อักเสบมีการหดตัว และผนังบวมหนา
ในระยะแรกควรรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะชนิด
broad spectrum งดอาหารและน้ำทางปาก และให้น้ำเกลือ ในรายที่มีอาการท้องอืด
ควรใส่ท่อ nasogastric ควรเฝ้าดูอาการ และติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด ถ้าอาการทั่วไปเลวลง
และปวดท้องมากขึ้น ควรพิจารณาทำผ่าตัด ในกรณีที่วินิจฉัยแยกจากไส้ติ่งอักเสบ
หรือไส้ติ่งแตกทะลุไม่ได้ ควรพิจารณาทำผ่าตัดฉุกเฉินตั้งแต่แรกรับ ถ้าพบ
segmental enteritis โดยลำไส้ยังอยู่ในสภาพดี ไม่จำเป็นต้องตัดลำไส้ ควรตัดเฉพาะลำไส้ส่วนที่อักเสบมาก
หรือมีรูแตกทะลุ
|
Intussusception
|
เด็กที่มีลำไส้กลืนกัน
มักจะมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้องแบบลำไส้อุดตัน ลักษณะพิเศษที่พบร่วมด้วยคือ
ถ่ายอุจจาระเป็นมูก หรือเลือด และคลำก้อนได้ในท้อง แต่ถ้าท้องอืดมาก อาจคลำก้อนไม่ได้
รายละเอียดของโรคนี้ ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องปัญหาลำไส้อุดตัน
|
Acute
mesenteric lymphadenitis |
การอักเสบของต่อมน้ำเหลืองภายในช่องท้อง
และโดยเฉพาะใน mesentery มักจะเกิดขึ้นหลังจากมีการติดเชื้อไวรัส ของทางเดินหายใจส่วนบน
และพบได้บ่อยในเด็กโต
เด็กส่วนมากมีอาการไข้
เจ็บคอ หรือไอ 2-3 วัน ก่อนที่จะเริ่มมีอาการปวดท้อง ลักษณะปวดเป็นแบบ colic
และตำแหน่งไม่แน่นอน การตรวจร่างกาย มักจะพบไข้ค่อนข้างสูง เด็กอาจมีตาแดง
มีน้ำมูก คอแดง และต่อมทอนซิลโต เวลากดท้องจะเจ็บไม่มาก และตำแหน่งที่กดเจ็บอาจเปลี่ยนแปลงในการตรวจแต่ละครั้ง
การตรวจทางทวารหนักมักจะปกติ เด็กบางรายมีอาการกดเจ็บเฉพาะบริเวณ right lower
quadrant ซึ่งทำให้ต้องวินิจฉัยแยกจากโรคไส้ติ่งอักเสบ
การตรวจเลือด
มักจะพบว่าเม็ดเลือดขาวมีปริมาณปกติ หรือต่ำกว่าปกติเล็กน้อย และอาจมีสัดส่วนของ
lymphocyte เพิ่มขึ้น
ควรให้การรักษาด้วยวิธีประคับประคองและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด
อาการปวดท้องมักจะดีขึ้นเอง ถ้ามีอาการปวดมาก ในระยะแรกควรงดอาการทางปาก
และให้น้ำเกลือ พร้อมทั้งเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด หากยังมีอาการปวดท้องน้อยด้านขวา
และวินิจฉัยแยกจากไส้ติ่งอักเสบไม่ได้ ควรพิจารณาผ่าตัดฉุกเฉิน เพื่อความปลอดภัย
|
Meckel's
diverticulitis  |
การติดเชื้อของ
Meckel's diverticulum พบได้ไม่บ่อย พยาธิสภาพและลักษณะอาการ คล้ายกับไส้ติ่งอักเสบ
แต่ตำแหน่งที่กดเจ็บมักจะค่อนมาทางกลางท้องมากกว่า การวินิจฉัยก่อนผ่าตัด
ไม่สามารถแยกจากไส้ติ่งอักเสบได้แน่นอน จึงจำเป็นต้องทำผ่าตัด เพื่อทั้งวินิจฉัยและรักษา
โดยตัดเอา diverticulum ออก ผู้ป่วยส่วนหนึ่ง จะมาด้วยลักษณะของ generalized
peritonitis เพราะวินิจฉัยไม่ได้ และโรคลุกลามมากขึ้น นอกจากนี้ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัด
ต้องระลึกถึงโรคนี้ไว้ด้วย ในกรณีผ่าตัดผู้ป่วยที่ลักษณะทางคลินิกบ่งชี้ว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ
แต่ผ่าตัดพบไส้ติ่งปกติ ถ้าพบ Meckel's diverticulum ที่ปกติ ควรพิจารณาตัดออกเฉพาะในรายที่มีโอกาสเกิดข้อแทรกซ้อนค่อนข้างสูง
เช่น เด็กมีอายุต่ำกว่า 10 ปี หรือพบว่า โคนของ diverticulum มีขนาดเล็ก
ซึ่งจะเกิดอุดตันได้ง่าย หรือปลาย diverticulum ยึดติดกับผนังหน้าท้อง
ซึ่งอาจทำให้เกิด
volvulus หรือลำไส้อุดตันได้ หรือเมื่อพบผนังที่หนากว่าปกติ ซึ่งอาจบ่งว่ามี
ectopic gastric หรือ pancreatic tissue
|
Twisted
ovarian cyst |
การหมุนบิดตัวของซิสท์รังไข่
มักจะเป็นในเด็กผู้หญิงวัย 10-15 ปี ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องขึ้นมาอย่างเฉียบพลันบริเวณท้องน้อย
โดยมากมักจะเป็นที่ข้างใดข้างหนึ่ง ผู้ป่วยไม่มีไข้ และไม่มีอาการของระบบทางเดินอาหาร
การตรวจร่างกาย อาจพบก้อนที่ท้องน้อย ถ้ามีขนาดใหญ่ ก้อนมีขอบเขตชัดเจนและกดเจ็บ
การตรวจด้วยอูลตราเซานด์ สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้ดี ควรผ่าตัดเอาซิสท์ออก
หรือตัดรังไข่ข้างนั้นออกไปด้วย ถ้ามีเนื้องอกภายในซิสท์
|
Acute
cholecystitis |
ถุงน้ำดีอักเสบ
พบได้น้อยในเด็ก ส่วนมากเกิดในเด็กที่มี hemolysis แบบเรื้อรังจากโรคเลือด
เช่น thalassemia หรือ spherocytosis เป็นผลทำให้มีนิ่วน้ำดี ซึ่งมีอุบัติการสูงประมาณ
17% ในกลุ่มที่มี serere hemolysis ลักษณะอาการคล้ายกับในผู้ใหญ่ คือ เจ็บปวดบริเวณชายโครงขวาเป็นพักๆ
แต่ตับและม้ามมักจะโต และมีโลหิตจางร่วมด้วย ควรทำอูลตราเซานด์ยืนยันการวินิจฉัย
และตรวจเลือด เพื่อหาสาเหตุของ hemolysis
ควรให้การรักษาโดยตัดถุงน้ำดีออก
ในเด็กที่เป็น spherocytosis ควรตัดม้ามออกด้วย เพื่อแก้ไขปัญหา hemolysis
ส่วนใน thalassemia นั้น จะพิจารณาตัดม้ามเป็นรายๆ ไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
และขนาดของม้าม
|
Vesical
stones |
นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
พบได้บ่อยในเด็กจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาการปวดท้องมักจะเป็นบริเวณหัวเหน่า
ร่วมกับปัสสาวะสะดุดเป็นพักๆ และมีเลือดปน เอ็กซเรย์มักจะเห็นนิ่วชัดเจน
เพราะส่วนมากเป็นชนิดทึบรังสี ในเด็กเล็กควรผ่าตัดทำ suprapubic cystostomy
และเอานิ่วออก แต่ในเด็กโตรักษาได้โดยสอด cystoscope เข้าไปขบนิ่ว
|
Peptic
ulcer |
พบได้น้อย
และส่วนมากเป็นในเด็กโต ลักษณะอาการและการรักษา ไม่แตกต่างจากในผู้ใหญ่ ปัจจุบันเชื่อว่ามีส่วนสัมพันธ์กับเชื้อโรค
H. pylori
อาการปวดท้องเฉียบพลัน
อาจเกิดจากอวัยวะอื่นที่อยู่นอกช่องท้อง หรือจากระบบประสาท เช่น ในเด็กที่เป็นโรคปอดบวม
หรือ empyema โรค Herpes zoster หรือ Henoch-Schonlein purpura
|
Chronic
abdominal pain |
อาการปวดท้องเรื้อรังในเด็ก
แบ่งได้เป็น functional pain หรือ organic pain
Functional
pain
อาการปวดท้องในกลุ่มนี้ไม่มีพยาธิสภาพชัดเจน ส่วนมากเกิดจากปัญหาทางจิตใจ
ในเรื่องของอารมณ์ และความเครียด โดยสาเหตุใหญ่อยู่ที่บ้าน หรือที่โรงเรียน
ความกดดันทางจิตใจ อาจทำให้ลำไส้บีบตัวรุนแรง หรือเกิด spasm ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดท้องได้
อาการอื่นที่อาจพบร่วม ได้แก่ ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ และปวดเวียนศีรษะ
การตรวจร่างกายมักจะไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ แต่ก่อนที่จะสรุปว่าผู้ป่วยปวดท้องชนิด
functional ควรวินิจฉัยและวิเคราะห์ให้ละเอียด ว่าไม่มีโรค organic จริง
การรักษาคือ
ให้ยาตามอาการและปรึกษาจิตแพทย์ รวมทั้งแก้ไขปัญหาความกดดันทางจิตใจ
Organic
pain
อาการปวดท้องเรื้อรังชนิดที่มีพยาธิสภาพ มักจะทำให้เด็กมีร่างกายผอม และไม่เติบโตสมวัย
|
 |
Parasitic
diseases พบได้บ่อยในประเทศไทย เด็กมีอาการปวดท้องเป็นๆ หายๆ ลักษณะการปวดไม่แน่นอน
บางรายอาจมีประวัติถ่ายอุจจาระปนกับตัวพยาธิออกมาด้วย บางรายมาด้วยปัญหาลำไส้อุดตัน
เนื่องจากพยาธิจับตัวกันเป็นก้อน การตรวจร่างกายมักจะปกติ การวินิจฉัยอาศัยการตรวจอุจจาระ
เพื่อดูไข่พยาธิ ในรายที่มีพยาธิมาก เอ็กซเรย์อาจเห็นตัวพยาธิคดเคี้ยวอยู่ในลำไส้
การรักษาคือ
ให้ยาถ่ายพยาธิ ยาบางชนิดอาจต้องใช้วิธีสวนอุจจาระร่วมด้วย
|
|
|
 |
Chronic
intussusception พบในเด็กโตที่มีพยาธิสภาพในลำไส้เป็นจุดนำให้ลำไส้กลืนกัน
เด็กมีอาการปวดท้องแบบลำไส้อุดตัน คือปวดท้องเป็นพักๆ ท้องอืด และส่วนมากจะมีอาเจียน
แต่อาการมักจะดีขึ้นเอง พ่อแม่หรือเด็ก อาจสังเกตว่ามีก้อนในท้อง ซึ่งจะหายไปหลังจากอาการปวดทุเลาลง
เด็กส่วนมากมีลักษณะผอม และไม่เจริญอาหาร การตรวจร่างกายขณะปวดท้อง
อาจคลำได้ก้อน ควรทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อวิเคราะห์สาเหตุในลำไส้ใหญ่ส่วนต้น
หรือลำไส้เล็กส่วนปลาย เช่น ตรวจด้วย barium enema สาเหตุอาจเป็น polyp
หรือก้อนชนิดอื่นๆ ที่ผนังลำไส้ หรือจาก Meckel's diverticulum 
การรักษา
ในเด็กอายุมากกว่า 2 ปี มักจะต้องใช้วิธีผ่าตัด เพราะส่วนมากจะมีพยาธิสภาพในลำไส้ที่ต้องตัดออก
|
|
|
 |
Incomplete
rotation and malfixation เป็นความผิดปกติแต่กำเนิด ลำไส้ส่วน
duodenojejunal junction อยู่ในตำแหน่งค่อนมาทาง midline มากกว่าปกติ
และอาจเกิดการดึงรั้งจาก ligament of Treitz เด็กมีอาการปวดบริเวณลิ้นปี่เป็นพักๆ
ร่วมกับอาเจียนเป็นอาหารและน้ำดี อาการมักจะเป็นๆ หายๆ ภาพ barium
meal อาจเห็นดูโอดีนั่มส่วนที่ 2 หรือ 3 โป่งพองมากกว่าปกติ และอาจพบรอยกดจากภายนอก
ควรรักษาด้วยวิธีประคับประคองก่อน
ถ้าอาการเป็นมาก จึงพิจารณาผ่าตัด
|
|
|
 |
Chronic
constipation อาจไม่มีสาเหตุชัดเจน แต่บางรายอาจเป็นโรค Hirschsprung
ชนิดพยาธิสภาพคงอยู่เฉพาะที่ปลายทวารหนัก เด็กมีอาการปวดท้องเป็นพักๆ
ร่วมกับอาการท้องอืด ท้องผูก ถ่ายอุจจาระลำบาก อาการปวดท้องมักจะเกิดจากหลังจากท้องผูกมาหลายวัน
และเมื่อได้ยาระบาย หรือสวนอุจจาระ อาการจะดีขึ้น การตรวจร่างกาย ไม่พบตำแหน่งที่ปวด
หรือกดเจ็บแน่นอน แต่อาจคลำได้ก้อนอุจจาระภายในช่องท้อง การตรวจทางทวารหนัก
จะพบอุจจาระแข็งค้างอยู่มากมาย
เอ็กซเรย์ช่องท้อง
จะเห็นลำไส้ใหญ่โป่งพอง และมีอุจจาระค้างอยู่ภายในมากมาย ถ้าเด็กท้องผูกตั้งแต่แรกคลอด
และสงสัยโรค Hirschsprung ควรทำ biopsy ของลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
ปัจจุบันทำได้ง่าย โดยใช้การดูดชิ้นเนื้อเฉพาะส่วน mucosa และ submucosa
มาตรวจด้วยวิธี histochemistry (รายละเอียดดูในหัวข้อโรค Hirschsprung)
ควรรักษาโดยสวนอุจจาระออก
บางครั้งอาจต้องใช้นิ้วควักอุจจาระที่เป็นก้อนแข็งออก รวมทั้งให้การรักษา
แก้ไขปัญหา หรือโรคที่เป็นสาเหตุของท้องผูกด้วย
|
|
|
 |
Tuberculosis
มักจะเป็นที่ terminal ileum และในต่อมน้ำเหลืองของ mesentery เด็กมีอาการปวดท้องเรื้อรัง
โดยไม่มีตำแหน่งที่แน่นอน บางรายอาจมีอาการแบบลำไส้อุดตัน บางรายมีไข้ต่ำๆ
ทุกวัน หรือไอเรื้อรัง และอาจมีประวัติวัณโรคในครอบครัว เด็กมีลักษณะผอม
และเติบโตไม่สมวัย อาจคลำได้ก้อนที่มีขอบเขตไม่ชัดเจน ภายในท้อง
เอ็กซเรย์ปอดอาจพบวัณโรคปอด
การทำ tuberculin test จะให้ผลบวก และ barium enema อาจเห็นว่าบริเวณ
terminal ileum ตีบ และเยื่อบุลำไส้เล็กส่วนปลาย มีลักษณะขรุขระ
ควรให้การรักษาแบบวัณโรคทั่วไป
ถ้าไม่แน่ใจในการวินิจฉัย หรือแยกจาก lymphoma ไม่ได้ ควรผ่าตัดเพื่อทำ
biopsy ในรายที่มีการอุดตันของลำไส้ ควรผ่าตัดส่วนที่ตีบออก
|
|
|
References |
1. |
สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ. เด็กปวดท้อง. โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2537. |
2. |
Chittmittrapap
S, Buachum V, Thamklong-at A. Cholelithiasis in Thalassemic children. |
|
|
Copyright (c) Chulalongkorn University
|