Umbilicus and abdominal wall abnormalities สะดือ คือแผลเป็นหลังจากที่สายสะดือ (umbilical cord) หลุดไปแล้วหลังคลอด ความผิดปกติในบริเวณนี้ จึงอาจเกิดจาก ส่วนประกอบของสายสะดือ ในขณะที่ทารกยังอยู่ในครรภ์ เช่น จาก urachus, vitelline duct, umbilical ring และหลอดเลือด |
||||||||
![]() |
||||||||
การอักเสบของสะดือ พบได้บ่อย โดยเฉพาะในระยะแรกคลอด ถ้าอนามัยไม่ดีพอ เชื้อส่วนใหญ่เป็น Staphylococcus และ Streptococcus สะดือมีลักษณะบวมแดง สะดือแฉะ ควรรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ และเช็ดสะดือให้แห้ง และอาจให้ยาฆ่าเชื้อ หรือยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ร่วมด้วย ในเด็กแรกคลอดที่มีบวมแดงรอบๆ สะดือ โดยที่สะดือปกติ ควรคำนึงถึงภาวะติดเชื้อในช่องท้อง ปัญหา omphalitis อาจชักนำให้เกิดการติดเชื้อใน portal vein และตามด้วย thrombosis | ||||||||
![]() ![]() |
||||||||
เกิดจากการอักเสบเรื้อรังที่สะดือ โดยมี granulation tissue หลงเหลืออยู่ เป็นลักษณะเนื้อแดงๆ หรือเป็นก้อนกลางสะดือ ทำให้สะดือแฉะอยู่ตลอดเวลา ลักษณะ discharge อาจมีเลือดปนเล็กน้อย ควรรักษาโดยจี้ด้วย silver nitrate หรือไฟฟ้า ถ้าเป็น granuloma ที่ยื่นโผล่ออกมา อาจใช้วิธีผูกที่ขั้ว เพื่อให้หายเร็วขึ้น ถ้ารักษาด้วยวิธีดังกล่าวหลายครั้งแล้วยังไม่หาย ควรคำนึงถึงพยาธิสภาพอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีช่องต่อกับ อวัยวะภายใน |
||||||||
![]() ![]() |
||||||||
เป็นก้อนที่สะดือ
อาจเป็น overgrowth ของ granulation tissue หรือเป็น mucosa ซึ่งเกิดจากการคงอยู่ของส่วนปลายของ
vitelline duct (amphalomesenteric duct) บางรายอาจมี fibrous band ยึดระหว่างสะดือกับ
Meckel's diverticulum หรือกับลำไส้เล็กเอง ในระยะแรก ควรรักษาโดยดันเอาลำไส้กลับเข้าไปภายในช่องท้อง และผูกรัดโคนของสายสะดือ เมื่อสะดือหายดีแล้ว ปัญหาส่วนมากก็จะหมดไปเอง ภาวะอันตรายที่อาจเกิดขึ้น คือไม่ได้วินิจฉัยขณะตัดสะดือ ทำให้ผูกและตัดเอาส่วนของลำไส้ ออกไปด้วย |
||||||||
![]() ![]() |
||||||||
เกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิด ระหว่างการเจริญเติบโตของ body stalk และ umbilical ring เด็กแรกคลอดจึงมีลำไส้ เลื่อนออกมา ผ่าน umbilical ring และปรากฏเป็นก้อนที่หน้าท้อง โดยมี peritoneum และ amniotic membrane บางๆ หุ้มลำไส้อยู่ ทำให้มองเห็นลำไส้ที่อยู่ภายใน กลุ่ม omphalocele มักพบตับยื่นออกมาภายนอกช่องท้องด้วย สายสะดือจะยึดติดกับเนื้อเยื่อตรงยอดของก้อน เยื่อหุ้มลำไส้อาจจะแตก และเป็นผลให้ลำไส้โผล่ออกมาภายนอก การผ่าตัดรักษา ขึ้นอยู่กับขนาดของ omphalocele เยื่อหุ้มแตกหรือไม่ และสภาพทั่วไปของเด็ก ในรายที่มีขนาดเล็กกว่า 3 ซม. ควรพิจารณาทำผ่าตัดได้เลย โดยดันลำไส้กลับเข้าช่องท้อง และเย็บปิดผนังหน้าท้อง ในรายที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 ซม. และดันลำไส้กลับไม่ได้ ควรทำ delayed operation เพราะการดันลำไส้เข้าไปทั้งหมด อาจทำให้เกิดปัญหาในการหายใจ ขณะรอผ่าตัด ควรใช้ผ้าทำแผลชุบยาฆ่าเชื้อ เช่น Pevidine ปิดคลุมเยื่อหุ้ม และรอให้มี cicartrization ของเยื่อหุ้มจากขอบ เมื่อเด็กโตขึ้นแล้ว จึงแก้ไขผ่าตัด ventral hernia ทีหลัง หรืออาจใช้ artificial sac หุ้มคลุมไว้ชั่วคราว แล้วค่อยๆ ดันลำไส้ กลับคืน ภายใน 7 วัน จึงเย็บปิดผนังหน้าท้อง ในกรณีที่เยื่อหุ้มแตก ควรทำผ่าตัดทันที เพื่อป้องกันปัญหาการขาดน้ำ และเกลือแร่ และภาวะติดเชื้อ ทารกที่เป็นโรคนี้ มักจะมีโรคหัวใจ โรคไต หรือความพิการแต่กำเนิดของระบบอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย จึงทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร |
||||||||
![]() |
||||||||
เป็นความพิการแต่กำเนิด
โดยมีผนังหน้าท้องส่วนกลางแยกจากกันเป็นช่องโหว่ ทำให้ลำไส้และอวัยวะภายใน
ออกมาอยู่นอกช่องท้อง โดยไม่มี sac หุ้มลำไส้อย่างเช่น omphalocele ส่วนสะดือและสายสะดือ
ยังมีลักษณะปกติ และส่วนมากติดกับด้านซ้ายของหน้าท้อง การดูแลรักษาก่อนผ่าตัด
มีความสำคัญมาก เพราะเด็กพวกนี้เสียความร้อน น้ำ และเกลือแร่ จากลำไส้ที่โผล่ออก
นอกร่างกาย และยังเกิดภาวะติดเชื้อได้บ่อย ควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น ปิดคลุมลำไส้และสวมถุงพลาสติกขนาดใหญ่ทับอีกชั้น
ไม่แนะนำให้ใช้ elastic bandage พันทับ เพราะลำไส้เกิดการบิดพับ กดกับขอบช่องโหว่
และเน่าตายได้ |
||||||||
1. Primary closure | ||||||||
เป็นการเย็บผนังช่องท้องเข้าหากัน หลังจากดันลำไส้กลับเข้าไปแล้ว วิธีนี้เหมาะสำหรับรายที่ลำไส้ออกมาไม่มาก และช่องท้องเจริญเติบโตได้ดีพอสมควร ข้อเสียคือ ถ้าผนังหน้าท้องที่ถูกเย็บเข้าหากันตึงมาก ลำไส้ที่ถูกดันกลับเข้าไป จะเบียดดันกะบังลม ทำให้หายใจลำบาก รวมทั้งอาจกดหลอดเลือดดำใหญ่ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ขาบวม และหัวใจวายได้ | ||||||||
2. Skin closure | ||||||||
เป็นการเลาะผิวหนังจากผนังหน้าท้องด้านข้าง
เพื่อเย็บปิดคลุมลำไส้ที่โผล่ออกมา
![]() ![]() |
||||||||
3. Artificial sac covering | ||||||||
ใช้ถุงประดิษฐ์หุ้มลำไส้ที่โผล่
และเย็บขอบถุงให้ติดกับผนังหน้าท้องรอบรูโหว่
หลังผ่าตัด ควรดูแลเรื่องการหายใจเป็นพิเศษ ถ้าหน้าท้องตึงมาก ควรใช้เครื่องช่วยหายใจในระยะแรก ควรดูแลระบบการไหลเวียนเลือดด้วย เพราะลำไส้อาจไปกด inferior vena cava และทำให้เลือดระบายกลับหัวใจลดลง ควรให้ยาปฏิชีวนะต่อหลังผ่าตัด และระวังภาวะติดเชื้อในถุงประดิษฐ์ และในช่องท้อง ลำไส้อาจไม่ทำงานอยู่นานหลังผ่าตัด ฉะนั้นควรพิจารณาให้อาหารทางหลอดเลือดดำ จนกว่าจะสามารถให้อาหารทางปากตามปกติได้ พบว่าผลการรักษา gastroschisis ดีกว่า omphalocele ซึ่งมีความพิการแต่กำเนิดของระบบอื่นๆ ร่วมด้วยมาก |
||||||||
|
||||||||
References | ||||||||
|
||||||||
|
||||||||
Copyright (c) Chulalongkorn University
|