คลื่นความดันชีพจร (Arterial Pressure Pulsations)
ถึงแม้ว่าหัวใจบีบตัวเป็นจังหวะทำให้เลือดออกจากหัวใจเฉพาะช่วงที่หัวใจมีการบีบตัว แต่เนื้อเยื่อต่างๆ สามารถได้รับเลือดไปเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เนื่องจากการที่หลอดเลือดมีคุณสมบัติในการยืดขยายตัว และมีความต้านทานภายในของหลอดเลือดอยู่ ทำให้เลือดที่มาถึงระดับหลอดเลือดฝอยมีการไหลต่อเนื่อง มิใช่การไหลเป็นจังหวะตามการบีบตัวของหัวใจ เลือดจึงไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ตลอดเวลา
การที่หัวใจบีบเลือดออกไปเป็นจังหวะ ทำให้ความดันที่วัดได้ในหลอดเลือดมีความแตกต่างกัน ความดันที่วัดได้ในขณะหัวใจบีบตัวมีค่ามาก เรียกความดันซิสโตลิก ความดันที่วัดได้ในขณะที่หัวใจคลายตัว เรียกความดันไดแอสโตลิก หากมีการบันทึกคลื่นความดัน (pressure pulse) จะได้รูปร่างดังแสดงในรูป จากรูปร่างของคลื่นความดันในคนปกติ ความดันสูงสุดของแต่ละคลื่นเป็นความดันซิสโตลิก มีค่าประมาณ 120 มม.ปรอท จุดที่ต่ำสุดของคลื่นเป็นค่าของความดันไดแอสโตลิก มีค่าประมาณ 80 มม.ปรอท ค่าความแตกต่างระหว่างความดันซิสโตลิกและความดันไดแอสโตลิก เรียก ความดันชีพจร (pulse pressure) มีค่าประมาณ 30-40 มม.ปรอท (ความดันชีพจร = ความดันซิสโตลิก - ความดันไดแอสโตลิก)
1. การถ่ายทอดคลื่นชีพจรสู่หลอดเลือดแดงส่วนปลาย
2. ปัจจัยที่มีผลต่อความดันชีพจร
3. รูปร่างคลื่นชีพจรที่ผิดปกติ